สืบค้นจากหนังสือหรือในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เรื่อง ประเภทของหลักสูตร
การออกแบบหลักสูตร
ประเภทของหลักสูตร
1. หลักสูตรบูรณาการ
หลักสูตรบูรณาการ (The
Integrated Curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ
มาหลอมรวม ทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป การผสมผสานเนื้อหาของวิชาต่างๆ
เข้าเป็นเนื้อเดียวกันทำได้หลายวิธี ซึ่งจะได้ชี้ให้เห็นต่อไปอย่างไรก็ตามที่มีการจัดทำหลักสูตรบูรณาการขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรหลายวิชาเท่านั้นมีเหตุผลและความคิดพื้นฐานซึ่งสนับสนุนอยู่ด้วยจะขออธิบายให้ทราบโดยสังเขปดังต่อไปนี้
1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด
1.1 เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ
ก.
โดยธรรมชาติเด็กหรือผู้เรียนจะมีความสนใจ
ฉงนสนเทห์และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆ
อยู่เสมอสมองของเด็กจะไม่จำกัดอยู่กับการเรียนรู้วิชาใดวิชาหนึ่งเป็นส่วนๆ
ข.
จากผลการวิจัยเรื่องพัฒนาการทางปัญญาของเด็กในชั้นประถมศึกษา
แสดงว่าพัฒนาการทางปัญญาจะดำเนินไปเป็นขั้นๆ
แต่ละขั้นจะแตกต่างกันไปและพัฒนาการของแต่ละคนก็จะมีอัตราความเจริญต่างกัน
แต่ที่สำคัญคือพัฒนาการนั้นจะดำเนินไปด้วยดีในเมื่อเด็กหรือผู้เรียนได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง
ยิ่งประสบการณ์มีความหลากหลายเพียงใด โอกาสในการพัฒนาการก็ยิ่งมีมากเพียงนั้น
ค.
หลักสูตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ
อย่างและให้ได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการสนับสนุนการเรียนรู้
1.2 เหตุผลทางสังคมวิทยา
ก. เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า
การศึกษาจะเกิดผลดีที่สุดก็ต่อเมื่อให้ผู้เรียนสามารถตอบปัญหาในชีวิตประจำวันได้
ด้วยเหตุนี้หลักสูตรจึงต้องเป็นหลักสูตรสนับสนุนสิ่งดังกล่าวซึ่งคุณสมบัตินี้มีอยู่ในหลักสูตรบูรณาการกล่าวคือ
ประสานสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิชาต่างๆ
ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องการของชีวิต
1.3 เหตุผลทางการบริหาร
ก.
หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตำราเรียนได้ คือแทนที่จะแยกเป็นตำราสำหรับ แต่ละวิชา
ซึ่งทำให้ต้องใช้ตำราหลายเล่ม ก็อาจรวมเนื้อหาของหลายวิชาไว้ในตำราเล่มเดียวกันและยังสามารถทำให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในกรณีที่ขาดแคลนครู
หลักสูตรบูรณาการซึ่งอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่งชั้นในเวลาเดียวกัน
ในบางตำรากล่าวว่าหลักสูตรบูรณาการ
คือหลักสูตรที่โครงสร้างของเนื้อหาวิชามีลักษณะเป็นหัวข้อหรือกิจกรรม หรือปัญหา
ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเรียนรู้แบบสหวิทยาการ
หลักสูตรบูรณาการที่มีใช้อยู่ในประเทศต่างๆ ในเอเชีย
มีทั้งที่เป็นหลักสูตรบูรณาการเต็มรูปและไม่เต็มรูป มีหลายประเทศที่เห็นว่าวิชาประเภททักษะเช่น
คณิตศาสตร์ และภาษาถ้าจะจัดการเรียนการสอนให้เกิดผลดี
ควรจัดหลักสูตรเป็นแบบรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
2. ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
1.
บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้
แต่เดิมเมื่อสภาพและปัญหาสังคมยังไม่สลับซับซ้อน และปริมาณเนื้อหาก็ยังไม่มีมากนัก
การเรียนรู้ซึ่งใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้อย่างง่ายๆ เช่นการบอกเล่า การบรรยาย
2.
บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ
มีผู้กล่าวตำหนิว่าการศึกษามักจะให้ความเอาใจใส่ต่อการพัฒนาจิตใจน้อยไป
คือมุ่งในด้านพุทธิพิสัยอันได้แก่ความรู้ความคิดและการแก้ปัญหา
มากกว่าด้านจิตพิสัย คือ เจตคติ ค่านิยม ความสนใจ และความสุนทรียภาพ
3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ
การสร้างสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้แล
การกระทำมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระหว่างความรู้และจิตใจ โดยเฉพาะในด้านจริยศึกษา
4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าหลักสูตรดีหรือไม่ดี
คือผลที่เกิดแก่คุณภาพของชีวิตผู้เรียน
5.
บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ ถ้าเรายอมรับว่าบูรณาการระหว่างความรู้กับจิตใจ
และระหว่างความรู้กับการกระทำเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้
3. รูปแบบของบูรณาการ
2. หลักสูตรกว้าง
หลักสูตรกว้าง (The Broad-Field
Curriculum) เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชา
โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ ทุกด้าน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพยายามจะหนีจากหลักสูตรที่ยึดวิชาเป็นพื้นฐาน
มีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียว วิชาต่างๆ ที่แยกจากกันเป็นเอกเทศ จนทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเหล่านั้น
ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ จากวิชาที่โทมัส ฮุกซเลย์
(Thomas Huxicy) สอนเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในราชสำนัก
(The Royal Insutunon) ที่นครลอนดอน
วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆ
ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ
หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ
พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร
และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้
ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503
ได้มีการนำเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลำดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
2.
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดหมายของหลักสูตรมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา
ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย จะเห็นได้จากการที่จุดหมายของหลักสูตรประถมศึกษา
พ.ศ.2503 ครอบคลุมการฝึกอบรมเพื่อนำไปสู่คุณลักษณะที่เกี่ยวกับการตระหนักในตน
มนุษย์สัมพันธ์ความสามารถในการครองชีพ และความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง
2.
จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้ ตัวอย่าง เช่น ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503
ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์
3.
โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า
โดยไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด หรือถ้ามีก็น้อยมาก
อย่างไรก็ตามหลักสูตรนี้เมื่อได้รับการดัดแปลงให้เป็นหลักสูตรบูรณาการ วิชาต่างๆ
จะผสมผสานกันกันจนหมดความเป็นเอกลักษณ์
ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
3. หลักสูตรประสบการณ์
หลักสูตรประสบการณ์ (The
Experience Curriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่
ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง
ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร พื้นฐานความคิดของหลักสูตรนี้มีมาตั้งแต่สมัยรุซโซ
(Rousseau) และเพลโต (Plato) แต่ได้นำมาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่
20 นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
หลักสูตรประสบการณ์ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลอง
(Laboratory School) ของมหาวิทยาลัยซิคาโก
ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์นและแมรีดิวอี้
พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า
ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4
อย่างคือ
1. แรงกระตุ้นทางสังคม
(Social Impulse) ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้เรียนมีความปรารถนาที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อน
2. แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์ (Constructive Impulse) ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้เรียนไม่อยู่นิ่งชอบเล่น
ชอบทำกิจกรรม ชอบเล่นสมมุติ ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ฯลฯ
3.
แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง (Impulse to Investigate and
Experiment) หมายถึง ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งอยากทดลองทำสิ่งที่ตนสงสัย
จะเห็นได้จากการที่ผู้เรียนชอบรื้อค้นสิ่งต่างๆ และเล่นกับสิ่งที่อาจจะเป็นอันตราย
เช่น เอามือไปแหย่ไฟด้วยความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เป็นต้น
4. แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำ
และทางศิลปะ (Expressive or Artistic Impulse) ได้แก่ การแสดงออกในด้านการขีดเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นดนตรี ฯลฯ
2.
ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1.
ความสนใจของผู้เรียน เป็นตัวกำหนดเนื้อหา
และเค้าโครงหลักสูตร ลักษณะข้อนี้หมายความว่า จะสอนอะไร เมื่อใด
และจะเรียงลำดับการสอนก่อนหลังอย่างไรขึ้นอยู่กับความสนใจและความต้องการของผู้เรียน
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กิจกรรมที่ผู้เรียนกระทำเป็นกิจกรรมที่เขามองเห็นความจำเป็นและประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่สนใจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนานและไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ
2. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน
คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจรวมกัน ความสนใจรวมกันจะต้องอาศัยความรู้เรื่องพัฒนาการของเด็ก
รวมทั้งพื้นฐานครอบครัว ซึ่งจะชี้ถึงค่านิยมละความสนใจของผู้เรียนด้วย
เมื่อทราบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่สนใจอะไรก็นำเอามาจัดเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนขึ้น
3. โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ที่กล่าวเช่นนี้หมายความว่า ในหลักสูตรแบบนี้ผู้สอนไม่สามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนไว้ล่วงหน้า
แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้สอนไม่เตรียมตัวการสอนเลย
อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้เรียนต้องกระทำก่อนการสอนก็คือ
การสำรวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น
และช่วยผู้เรียนในการตัดสินใจว่าความสนใจเรื่องใดมีคุณค่าควรแก่การศึกษา
4.
ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอน
ดังได้กล่าวแล้วว่าในหลักสูตรประสบการณ์ผู้สอนและผู้เรียนรวมกันพิจารณาตัดสินว่าควรจะทำกิจกรรมอะไร
จึงเห็นได้ว่านับตั้งแต่เริ่มแรกก็มีปัญหาต้องขบคิดกันแล้ว
คือปัญหาที่ว่าจะทำอะไร อย่างไร และเมื่อใด
จะต้องอาศัยอะไรเป็นเครื่องช่วยเพื่อให้การกระทำสำเร็จผล
ปัญหาและอุปสรรคที่จำเป็นต้องแก้ไขเป็นการล่วงหน้ามีอะไรบ้าง ฯลฯ
3.
ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
ดังได้กล่าวแล้วว่าหลักสูตรประสบการณ์อาศัยความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก ในการจัดเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอน
ดังนั้นจึงสร้างปัญหาแก่ผู้ใช้หลักสูตรอย่างมาก ที่สำคัญคือ
1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร หลักสูตรประสบการณ์นำเอาแนวความคิดใหม่มาใช้มองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลักการกำหนดเนื้อหาย่อมทำได้ยาก
2.
ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ หลักสูตรประสบการณ์ไม่ได้คิดเพียงการนำเอาเนื้อหาวิชามาเรียนลำดับกันเท่านั้น
แต่จะพิจารณาด้วยว่าเนื้อหาอะไรที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด ปัญหานี้ยังหาคำตอบที่พอใจไม่ได้
4. หลักสูตรรายวิชา
หลักสูตรรายวิชา (The Subject Curriculum) เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมไม่เฉพาะแต่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยก็ได้ใช้หลักสูตรแบบนี้มาแต่ต้น
การที่เรียนกว่าหลักสูตรรายวิชาก็เนื่องจากโครงสร้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร
จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ไม่ว่าในด้านเนื้อหาหรือการสอน
สำหรับเนื้อหาที่คัดมาถือว่าเป็นเนื้อหาที่สำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้
หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา
แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนำเอาระบบหน่วยกิตมาใช้ ซึ่งจะได้อธิบายในโอกาสต่อไป
1. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
ดังนั้นโครงสร้างของหลักสูตรจึงประกอบด้วยวิชาต่างๆ หลายวิชา
ซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรคิดว่าจะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามที่ได้ดั่งจุดหมายไว้
2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร
อาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้
และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
3.
จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร
เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ
เป็นสำคัญ
4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา
ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น
และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน เพื่อสะดวกแก่การเรียนการสอน
5. กิจกรรมการเรียนการสอน
เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา
การส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร
หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
6. การประเมินผลการเรียนรู้
มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ส่วนดี
|
ส่วนเสีย
|
1.จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา
ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
|
1.
มักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่นทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
|
2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบ
เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
|
2. การเน้นเนื้อหา
ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควรนอกจากนี้การที่มุ่งให้จำเนื้อหา
ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการฝึกฝนเรื่องการคิดทักษะในการแก้ปัญหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์จะหย่อนไป
|
3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ
ทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
|
3.
ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ
ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่าการเรียนที่เป็นผลพวง
(Concomitant Learning)
|
4.
การประเมินผลการเรียนทำได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสำคัญ
|
4. การที่หลักสูตรจัดแยกวิชาต่างๆ
ออกเป็นเอกเทศโดยไม่สัมพันธ์กันทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนมองไม่เห็นภาพรวมของสิ่งที่เรียน
เป็นการสร้างทัศนะแคบๆ ในด้านการเรียนรู้
|
|
5.
มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียน ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า
การจัดเนื้อหานั้นจะยึดหลักเหตุผลในด้านเนื้อหาสาระของวิชาเกณฑ์โดยไม่คำนึงถึงหลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการและความต้องการของผู้เรียนแต่อย่างใด
|
|
6.ผู้สอนเป็นผู้ให้และผู้เรียนเป็นผู้รับ
บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน
|
5. หลักสูตรแกน
หลักสูตรแกน (The Core Curriculum) ถือกำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปีค.ศ. 1900 ด้วยเหตุผลสองประการ คือ
ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆ
หรือพูดง่ายๆ ก็คือความพยายามที่จะให้หลุดพ้นจากการเป็นหลักสูตรรายวิชาประการหนึ่งและความพยายามที่จะดึงเอาความต้องการและปัญหาของสังคมมาเป็นศูนย์กลางของหลักสูตร
อีกประการหนึ่ง
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
วิวัฒนาการของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรแกน
เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้
เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่ เช่น
นำเอาเนื้อหาของวิชาชีววิทยา สังคมศึกษาและสุขศึกษามาเชื่อมโยงกันภายใต้หัวข้อ“สุขภาพและอนามัยของท้องถิ่น”
เป็นต้น ต่อมาภายหลังมีผู้คิดปรับปรุง การเชื่อมโยงอีก
โดยยึดเอาวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกน แล้วกำหนดหัวข้อการเรียนการสอนให้ครอบคลุมวิชาอื่นๆ
อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า
เอาวิชาประวัติศาสตร์เป็นแกนแล้วขยายขอบเขตของเนื้อหาให้ครอบคลุมวิชาศิลปะ ดนตรี
วรรณคดี วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
อย่างไรก็ตามการใช้วิชาเป็นแกนทั้งสองรูปแบบนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์กับปัญหาสังคมปัจจุบัน
2. หลักสูตรแกนในเอเชีย
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนอยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายประเทศ เช่น
จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
แต่การตีความหมายของหลักสูตรมีอยู่ 3 ความหมาย คือ
1. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรที่นำเอาวิชาต่างๆ มาผสมผสานกัน
โดยใช้หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมปัจจุบัน ปัญหาของผู้เรียน
หรือปัญหาทางประวัติศาสตร์มาผสมผสานกัน
2. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรที่ประกอบด้วยความรู้ ทักษะ
และเจตคติที่ได้เลือกสรรแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคน
โดยนำเอาสิ่งที่ได้เลือกไว้แล้วนี้ มาจัดในลักษณะหลักสูตรกว้าง ไม่แยกรายวิชา
3. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรประกอบด้วยวิชาต่างๆ ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกๆ
คน
เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพของหลักสูตรแกนของประเทศต่างๆ ในเอเชียชัดเจนยิ่งขึ้น
ขอนำเอาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องมาสรุปเปรียบเทียบให้เห็นดังต่อไปนี้
1. ความหมายของหลักสูตร
ประเทศที่ดี
1. คือ จีน ญี่ปุ่น
2. คือ
อินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม นิวซีแลนด์
3. คือ อินโดนีเซีย เนปาล ออสเตรเลีย
2. ผู้รับผิดชอบในการกำหนดหลักสูตร ประเทศที่รัฐบาลกลางมีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดคือ จีน อินโดนีเซีย
มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย และเวียดนาม สำหรับญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์
รัฐบาลกลางเป็นผู้กำหนดแนวทางกลางให้
และโรงเรียนเป็นผู้จัดทำโปรแกรมการเรียนการสอนเอง มีอยู่สองประเภทที่รัฐบาลกลางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ได้แก่ อินเดีย ซึ่งแต่ละรัฐจะดำเนินการเองโดยรัฐบาลกลางเพียงเสนอข้อคิดเห็น
และออสเตรเลียซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของ แต่ละรัฐ
ในบางรัฐยังถือว่าการกำหนดหลักสูตรเป็นเรื่องของโรงเรียน
3. ระดับการผสมผสานวิชาในหลักสูตร ที่มีการผสมผสานกันอย่างมากมายได้แก่ หลักสูตรของประเทศศรีลังกา ไทย
เวียดนามและนิวซีแลนด์ ผสมผสานระดับปานกลาง ได้แก่ของจีน อินเดีย อินโดนีเซีย
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น
ส่วนหลักสูตรของเนปาลนั้นมีการผสมผสานกันน้อยมาก
4. ระดับการเน้นหนักเรื่องชาตินิยมและความสามัคคีในชาติ ประเทศที่เน้นหนักมากคือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เนปาล ไทย
เวียดนาม ที่เน้นปานกลางคือ ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา
ส่วนที่เห็นว่าจำเป็นแต่ไม่ได้เน้น คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์
5. ระดับการเน้นหนักด้านศีลธรรมและจริยธรรม ประเทศที่เน้นหนักมากคือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย เวียดนาม
ที่เน้นในระดับปานกลางคือ เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และญี่ปุ่น
ส่วนประเทศที่เห็นว่าจำเป็นแต่ไม่ได้เน้นคือ คือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
6. สัดส่วนของหลักสูตรแกนในระดับประถมศึกษา
ประเทศที่ถือว่าหลักสูตรประถมศึกษาทั้งหมดคือ
หลักสูตรแกน คือ จีน มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย
ญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ มีอินเดียและอินโดนีเซียเพียงสองประเทศที่หลักสูตรแกนไม่เป็นหลักสูตรประถมศึกษาทั้งหมด
ทั้งนี้เนื่องจากมีวิชาเลือกปะปนอยู่ด้วย
7.ความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ ประเทศที่เน้นความสัมพันธ์อย่างมาก คือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย
มาเลเซีย เนปาล ไทยและเวียดนาม ที่เน้นในระดับปานกลาง ได้แก่ ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา
ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์
8. วิชาที่จัดสอนให้ระดับประถมศึกษา ปรากฏว่าประเทศต่างๆ
ที่กล่าวมาแล้วได้กำหนดวิชาของหลักสูตรแกนไว้ใกล้เคียงกันมากเป็นต้นว่าทุกประเทศมีการสอนภาษาประจำชาติและจัดให้มีการเชื่อมโยงระหว่างการเรียนภาษากับทักษะในการเขียน
และในการสื่อความหมายนอกจากนี้ยังถือว่าภาษาเป็นสิ่งที่สร้างเอกลักษณ์ของชาติ
และสร้างความเป็นปึกแผ่นทางวัฒนธรรม
3. ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน
จากข้อมูลว่าด้วยหลักสูตรแกนในสหรัฐอเมริกาก็ดี และในประเทศต่างๆ
ในเอเชียก็ดีทำให้เราพอมีข้อมูลสรุปได้ว่า
หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นหนึ่งของหลักสูตรแม่บท
หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้จุดเน้นของหลักสูตรจะอยู่ที่วิชาหรือสังคมก็ได้
ส่วนใหญ่จะเน้นสังคมโดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคม หรือปัญหาสังคม
หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก
ในแง่ของการเน้นวิชาก็ได้แก่การบังคับให้เรียนวิชาต่างๆ ในหลักสูตร เช่น
วิชาสามัญ ได้แก่ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ส่วนในด้านสังคมก็อาจกำหนดหลักสูตรโดยใช้หัวข้อต่อไปนี้
1. ที่ยึดหน้าที่ของบุคคล
ได้แก่ การสงวนรักษาทรัพยากร การผลิตสินค้าและบริการเฉลี่ยรายได้
การใช้สินค้าและบริการการพักผ่อนหย่อนใจ
2. ที่ยึดปัญหาสังคมได้แก่
ปัญหาที่อยู่อาศัย อาหาร การจราจร มลภาวะ สุขภาพ ศีลธรรมและการมีงานทำ
3. ที่ยึดการสร้างเสริมสังคม
ได้แก่ ความรับผิดชอบตามหน้าที่พลเมือง การเป็นผู้บริโภคที่ฉลาด
ความเข้าใจระบบเศรษฐกิจความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัว
การส่งเสริมอนามัยชุมชนและงานพัฒนาชุมชน
6. หลักสูตรแฝง (Hidden Curriculum)
1. ความหมาย
หลักสูตรแฝง เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน
เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094) ใช้คำว่า implicit
curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์ (Saylor &
Alexander,1974) ใช้คำว่า unstudied curriculum ถึงแม้จะใช้คำที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ต่างก็มีความหมายใกล้เคียง
หรือถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกัน คือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้น
ไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial
curriculum)
2. หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
โดยทั่วไปโรงเรียนจะประสบความสำเร็จมากในการสอนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้าน
พุทธิพิสัย และทักษะพิสัย
ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการสอนและการประเมินผลที่จัดให้เกิดความสอดคล้องกันได้ง่ายและกระทำได้ง่าย
แต่โรงเรียนจะมีปัญหาในการสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิต อารมณ์และการกระทำที่สอดคล้องกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นเรื่องของการสอน เจตคติ
ค่านิยม และความประพฤติที่พึงประสงค์
เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้โดยการบรรยาย หรือการใช้คำพูดสั่งสอน เพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริง
เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ใช้คำพูดสั่งสอน เพราะโดยธรรมชาติและหลักข้อเท็จจริง เด็กจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากตัวอย่างและการกระทำของผู้ใหญ่และผู้อยู่ใกล้ชิดมากกว่า
ชิลเบอร์เมน (Silberman,1970:9)
ได้ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่า
สิ่งที่นักการศึกษาจะต้องตระหนักให้มากก็คือ
วิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอน นั่นก็คือว่าวิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆ
จะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและมีประสิทธิผลมากกว่าที่เราได้สอนหรือพูดคุยกับเขาโดยตรงการปฏิบัติการในเชิงการบริหารที่มีลักษณะเฉพาะ
ประเภทการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถ การแบ่งแยกผิวพรรณและเชื้อชาติ หรือการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาจะมีผลต่อหน้าที่พลเมืองมากกว่าการเรียนโดยตรงในหลักสูตรวิชาสังคมศึกษา เด็กๆ
จะถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมจริยธรรม
ศีลธรรม บุคลิกภาพ
และความประพฤติทุกวันจากการจัดและดำเนินการของโรงเรียน เช่น
วิถีทางที่ครูและพ่อแม่ประพฤติ
วิถีทางที่พวกเขาพูดกับเด็กและระหว่างผู้ใหญ่ด้วยตนเอง
ชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขายอมรับและให้รางวัล และชนิดของพฤติกรรมที่พวกเขาไม่ยอมรับ และมีการลงโทษ
มากกว่าการเรียนรู้จากเนื้อหาที่บรรจุไว้ในหลักสูตรปกติ
โคลเบอร์ก (kopiberg, 1970:120) ซึ่งเป็นนักสังคมวิทยาการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด ผู้ซึ่งล่วงไปแล้ว
ได้มีความเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม
(socialization) ของนักเรียน
เขามองว่าหลักสูตรแฝงมีลักษณะและธรรมชาติที่จำเป็นและเอื้อต่อการพาไปสู่ความเจริญงอกงามทางจริยธรรม เพราะในโรงเรียนประกอบไปด้วยฝูงคน การยกย่องและอำนาจ
แจ๊คสัน (jackson, 1968 : 36)
ได้ศึกษาลักษณะที่สำคัญของห้องเรียนและได้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติของการกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมและความสำคัญของหลักสูตรแฝงว่า ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียน
นักเรียนเรียนรู้ที่จะปรับตนเองให้สอดคล้องกับเจตจำนงของครู
แล้วควบคุมการกระทำของตนเองให้เป็นที่ยอมรับ เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับตามและปฏิบัติตามกฎ
ระเบียบ และกิจวัตรต่างๆ
ที่ได้กำหนดไว้เขาเรียนรู้ที่จะอดทนกับความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ
และยอมรับนโยบายและแผนงานของผู้บริหาร
แม้ว่าจะขาดเหตุผลไปบ้างก็ตาม
แจ๊คสัน (Jackson, 1972 : 81 ) ถือว่า กฎ ระเบียบ
และกิจวัตรประจำวัน เป็น 3 R’s
(rules,regulaons, and routines ) ของหลักสูตรแฝง
เพราะเป็นสิ่งที่นักเรียนต้องเรียนรู้และปฏิบัติตาม มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นได้
จากข้อเท็จจริง
ความคิด และมุมมอง
เกี่ยวกับหลักสูตรแฝงนี้จะช่วยให้ครูและนักการศึกษาได้แง่คิด และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ ค่านิยม
พฤติกรรม คุณธรรม และจริยธรรมของนักเรียน ความจริงในเรื่องนี้ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความตระหนักว่า
การสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยโดยเน้นการสั่งสอนอบรมในลักษณะการบรรยาย และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติตามหลักสูตร แต่เพียงอย่างเดียวย่อมจะไม่เพียงพอ แต่จะต้องการขอความร่วมมือจากครูและบุคลากรทุกคนของโรงเรียนได้ช่วยกันสร้างบรรยากาศ
จัดกิจกรรม
และประพฤติปฏิบัติตนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน
7. หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum) เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ
แรกทีเดียวการแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาใช้ เช่น
ให้ผู้เรียนร่วมในการวางแผนการเรียน และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ
นอกเหนือจากการท่องจำ เพื่อให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่ต้องการ
ทั้งนี้เพื่อแก้ข้อบกพร่องของหลักสูตรที่เน้นเรื่องผู้สอนเป็นผู้สั่งการหรือจุดศูนย์กลางของการเรียนการสอน
แต่การปรับปรุงด้านเทคนิคการสอนไม่ได้ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องที่ว่า
หลักสูตรรายวิชามีขอบเขตแคบเฉพาะวิชา และยังมีลักษณะแบ่งแยกเป็นส่วนย่อยๆ อีกด้วย
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชา เท่าที่ปฏิบัติกันมามีอยู่ 3 วิธีคือ
1. สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง
กล่าวคือใช้ข้อเท็จจริงของวิชาส่วนหนึ่งมาช่วยประกอบการสอนอีกวิชาหนึ่ง
เช่น เมื่อมีการศึกษาประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่งถ้าปรากฏว่ามีวรรณคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ตอนนั้นอยู่ด้วย
ก็นำเอาวรรณคดีนั้นมาศึกษาด้วยในขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มความเข้าใจแก่ผู้เรียนมากขึ้น
ในทำนองเดียวกันอาจนำเอาข้อเท็จจริงของวิชาภูมิศาสตร์มาสอนให้ทราบถึงสาเหตุของสงคราม หรือแสดงเส้นทางของกองทัพ
หรือแสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศคู่สงครามก็ได้
2. สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์
การสร้างความสัมพันธ์วิธีนี้เป็นการนำเอาหลักเกณฑ์หรือแนวความคิดของวิชาหนึ่งไปใช้อธิบายเรื่องราวหรือแนวความคิดของอีกวิชาหนึ่ง เช่น
สร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงวิชาจิตวิทยากับสังคมวิทยาเข้าด้วยกัน
โดยใช้หลักจิตวิทยาอธิบายเหตุการณ์ในสังคมในวิชาประวัติศาสตร์ เป็นต้นว่าใช้กฎการขาดความมั่นคงและการถดถอย (Frustration and Regression) แสดงให้เห็นว่าการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวและใช้อาวุธเข้าทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน
ก็เนื่องจากประชาชนในประเทศถูกกดดันมาเป็นเวลานาน
ในทำนองเดียวกันกฎเกณฑ์ของวิชาวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ได้แก่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา
ฯลฯ ก็อาจนำมาเชื่อมโยงกันได้
3. สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม
วิธีนี้คล้ายวิธีที่ 2 แค่แตกต่างกันตรงที่ว่า
แทนที่จะใช้หลักเกณฑ์หรือแนวความคิดเป็นตัวเชื่อมโยง
กลับใช้หลักศีลธรรมและหลักปฏิบัติของสังคมเป็นเครื่องอ้างอิง ตัวอย่างเช่น
อาจเชื่อมโยงแนวความคิดของผู้ประพันธ์วรรณคดี
ยุคหนึ่ง เข้ากับระบบการปกครองในยุคนั้นก็ได้ คือใช้วรรณคดีสะท้อนความคิดด้านการปกครอง
ทำให้มองเห็นแนวความคิดได้เด่นชัดยิ่งขึ้น
หลักสูตรสัมพันธ์วิชาที่ปรับปรุงขึ้นมาจากหลักสูตรรายวิชานี้ มีประโยชน์หลายอย่างที่สำคัญคือ ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
ทำให้ผู้เรียนมองเห็นโปรแกรมการเรียนการสอนเป็นส่วนรวมชัดเจนขึ้น
ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากขึ้นและกว้างขวางกว่าเดิมและเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขวางขึ้น แต่อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องที่ยังแก้ไม่ได้ก็คือ
รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั่นเอง ในปัจจุบันหลักสูตรสัมพันธ์วิชายังมีใช้
อยู่เพียงในบางประเทศที่ยังคงใช้หลักสูตรรายวิชาเป็นหลัก
8. หลักสูตรเกลียวสว่าน (Spiral Curriculum)
1. ความหมาย
หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral Curriculum) หมายถึง
การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน
กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ แล้งค่อยๆ
เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
2. ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
บรูเนอร์ (Bruner, 1960) เป็นนักการศึกษาท่านหนึ่งที่มีบทบาทมากในการเผยแพร่ความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน บรูเนอร์มีความเชื่อว่า
ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน
จึงควรนำความจริงในข้อนี้มาใช้กับการจัดหลักสูตร
โดยการจัดลำดับเนื้อหาให้ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อย่างมีระบบ
จากง่ายไปหายาก
จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวน หรือเกลียวสว่าน คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก
การพัฒนาหลักสูตรควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความคิด หรือหัวข้อเนื้อหาพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก
จนกว่านักเรียนได้เรียนรู้ความคิดรวมของเรื่องนั้นๆ บรูเนอร์เชื่อว่า เราสามารถสอนเรื่องใดๆ ให้แก่นักเรียนที่มีอายุเท่าใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเด็กจะมีความพร้อมเต็มที่ และเขาได้ย้ำในประเด็นนี้ว่า เป็นไปได้ที่จะสอนความคิดและตัวแปรต่างๆ ให้แก่เด็กได้ตั้งแต่เยาว์วัย และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้นๆ
จากการนำแนวความคิดของหลักสูตรเกลียวสว่านไปใช้กับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ฟรอสท์และโรแลนด์ (Frost and
Roland,1969)
ได้ยืนยันว่า
หลักสูตรเกลียวสว่านช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนอย่างมีลำดับขั้นตอนของโครงสร้างวิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี ได้ยืนยันเพิ่มเติมว่า
ไม่เพียงแต่มีการนำหัวข้อเนื้อหาเดียวกันมาศึกษาในระดับชั้นที่ต่อเนื่องกันเท่านั้น แต่ยังมีการนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้มีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อหาและวัยอีกด้วย จึงสรุปได้ว่า
เนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กกับนักวิชาการระดับสูงแตกต่างกันเพียงปริมาณหรือความเข้มเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทหรือชนิด
3.
หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
ดิวอี้ (Dewey, 1938)
มีแนวคิดเรื่องหลักสูตรสว่านแตกต่างไปจากบรูเนอร์ กล่าวคือ ดิวอี้ มีความเชื่อว่า
การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้ เขาจะได้ความคิดใหม่ๆ และพลังในการทำงาน ซึ่งจะเป็นฐานสำหรับแก้ปัญหาอื่นๆ อีกต่อไป
ในการปฏิบัติเช่นนั้นผู้เรียนจะเข้าใจถึงความสำคัญระหว่างกันของความรู้ในสาขาต่างๆ และการประยุกต์ความรู้ไปใช้ในเชิงสังคมได้กว้างขวางขึ้น
กระบวนการจึงเป็นเสมือนเกลียวสว่านที่มีลักษณะต่อเนื่องและรับช่วงกันไป
ดังนั้น
เกลียวสว่านของดิวอี้จึงไม่ได้เริ่มที่ประสบการณ์ของผู้เรียนแต่เพียงประการเดียว ซึ่งนอกเหนือไปจากเนื้อหาวิชาที่จัดไว้สำหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่มองประสบการณ์ทางการศึกษาว่า
เป็นการขยายความสนใจและสมรรถภาพของผู้เรียนไปสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่สูงขึ้นและกว้างขึ้น ดังนั้น
การเลือกเนื้อหาสาระที่จะต้องก้าวไปเรื่อยๆ
จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับการเจริญงอกงามของประสบการณ์ ยกตัวอย่าง
เช่น การศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์นั้น
ดิวอี้ได้ยืนยันว่าไม่แต่การนำไปสู่ความเข้าใจวิทยาศาสตร์ที่ดีขึ้นเท่านั้น
แต่จะต้องนำไปสู่ความเข้าใจปัญหาของสังคมในขอบข่ายที่กว้างขึ้นและที่ดีขึ้นด้วย ในประเด็นนี้
จำเป็นต้องมีการสังเคราะห์หลักสูตรให้สมบูรณ์ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ในแนวตั้ง
หมายถึง
การขยายความรู้ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป
ส่วนแนวนอน หมายถึง ความจำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างกันของความรู้
9. หลักสูตรสูญ ( Null Curriculum)
หลักสูตรสูญหรือ Null Curriculum เป็นความคิดและคำที่บัญญัติขึ้นโดยไอส์เนอร์
(Eisner,1979)แห่งมหาวิทยาลัยแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา หลักสูตรสูญ
เป็นชื่อประเภทของสูตรที่ไม่แพร่หลาย
และไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในระหว่างนักการศึกษา และนักพัฒนาหลักสูตรด้วยกัน
เขาได้นิยามหลักสูตรสูญว่า
เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้
และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน
เขาได้อธิบายถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้ว่า
สิ่งที่ไม่ปรากฏอยู่ในตัวหลักสูตรและสิ่งที่ครูไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า
ความรู้หรือการขาดสิ่งที่ควรจากรู้ไม่ได้เป็นแต่เพียงความว่างเปล่าที่หลายคนอาจคิดว่าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด แต่โดยความเป็นจริงแล้ว
การขาดความรู้ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบที่สำคัญมาก
ในแง่ที่ทำให้ผู้เรียนขาดทางเลือกที่เขาอาจนำไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาชีวิตของเขาได้
นั้นก็คือ
การขาดความรู้บางอย่างไปอาจทำให้ชีวิตของคนๆ หนึ่งขาดความสมบูรณ์ได้
1.
ประเด็นที่ควรพิจารณา
ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกได้แก่ กระบวนการทางปัญญา (Cognitive
process) ที่โรงเรียนเน้นและละเลย ประเด็นที่สองได้แก่
เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร
ในประเด็นของกระบวนการทางปัญญานั้น
ไอส์เนอร์ หมายถึง กระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการรู้
โดยเริ่มจากการรับรู้สิ่งเร้าต่างๆ ไปจนถึงการคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบ
เขาได้มองลึกลงไปว่า แนวความคิดทางด้านศึกษาศาสตร์ได้จำกัดความหมายของกระบวนการทางปัญญาให้แคบลงไป
และโรงเรียนก็พยายามเน้นและพัฒนาความคิดของนักเรียนให้อยู่ภายในขอบเขตที่กำจัด
โดยเขาเชื่อว่ายังมีรูปแบบการคิดที่เป็นประโยชน์อีกมาก แต่ไม่เปิดเผยออกมาทางวาจา
รวมทั้งการคิดที่ขาดเหตุผลเชิงตรรกะ รูปแบบเหล่านี้จะทำหน้าที่ของมันผ่านกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเห็น
การฟังการเปรียบเทียบ และการสังเคราะห์
กระบวนการคิดแนวนี้ทางโรงเรียนให้ความสนใจน้อยมาก ทั้งๆ
ที่การติดตามรูปแบบนี้จะต้องเกิดขึ้นและพัฒนาตัวมันเองขึ้นมาแน่ๆ นอกโรงเรียน
ประเด็นที่สองที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น ไอส์เนอร์ ชี้แจงว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ว่าในสหรัฐอเมริกาหรือที่ไหนๆ
ในโลกนี้ มักจะสอนเนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น
ในระดับประถมศึกษาก็จะสอนเกี่ยวกับการสอนเกี่ยวกับการอ่าน การเขียน
และการคิดเลขเป็นหลัก แล้วมีสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ทั่วไป สุขศึกษา พลศึกษา
และอื่นๆ ในเมื่อโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีและรูปแบบการดำรงชีวิต
ทำไมจึงไม่นำวิชาหรือเนื้อหาอื่นๆ ใหม่ๆ ที่จำเป็นมาสอนบ้าง เขาได้ให้ความเห็นในจุดนี้ว่า
เนื้อหาวิชาที่สอนกันเรื่อยมาจนเป็นประเพณีของโรงเรียนนั้นไม่ใช่เป็นเพราะขาดการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไปได้ของการนำเนื้อหาอื่นๆ
ใหม่ๆ มาสอน แต่มักจะเป็นเพราะพวกเขาถูกสอนมาอย่างนั้น
ครูโดยทั่วไปจะสอนในสิ่งที่เคยสอนกันมาตามนิสัยและความเคยชิน
และโดยกระบวนการนี้ทำให้เกิดการละเลยสาขาวิชาใหม่ๆ ที่พิสูจน์แล้วว่า
มีคุณประโยชน์ต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก เช่น วิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
ทั้งสองประเด็นที่กล่าวมานี้
เป็นมิติที่ไอส์เนอร์ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดเรื่องหลักสูญได้กำหนดเอาไว้เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งที่ขาดหายไปจากหลักสูตรต่อมาฟลินเดอร์และคณะ
(Finders, et.al, 1986)
ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันเดียวกันกับไอส์เนอร์ ได้เสนอประเด็นการพิจารณาเพิ่มขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่งอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการศึกษาทางด้านอารมณ์และความรู้สึก
(affect) อันประกอบด้วยค่านิยม เจตคติ และอารมณ์ โดยนัยเดี่ยวกัน
หลักสูตรสูญตามประเด็นที่สามนี้ ได้แก่
การที่หลักสูตรไม่ได้คำนึงหรือบรรจุความรู้สึก เจตคติ และค่านิยมในบางด้านและบางเรื่องเอาไว้
2. การนำความคิดของหลักสูตรสูญไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
ถึงจุดนี้ ผู้เรียนเข้าใจแล้วว่า
หลักสูตรสูญได้แก่สิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนหรือสิ่งที่ไม่ได้บรรจุไว้ในหลักสูตร และสิ่งที่ขาดหายไปจากหลักสูตรจำแนกออกได้เป็น
3 ด้านคือ สิ่งที่ขาดหายไปในรูปของกระบวนการทางปัญญา เนื้อหา
และด้านความรู้-ค่านิยม
คงไม่ยากที่จะทำความเข้าใจแนวคิดของเรื่องนี้ แต่ปัญญาหาที่อยู่ในใจของเราก็คือว่า
เราจะใช้อะไรเป็นตัวกำหนดหรือเป็นกรอบในการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นส่วนที่ขาดหายไปจากหลักสูตร
(หรือหลักสูตรสูญ) เช่น ในกรณีที่เราไม่ได้เปิดสอนวิชาตรรกวิทยาในระดับชั้นอนุบาล
จะถือว่าวิชาตรรกวิทยาเป็นหลักสูตรสูญของหลักสูตรอนุบาลหรือไม่ คำตอบก็คือ
ไม่ใช่ ที่ตอบเช่นนี้ก็โดยเหตุผลที่ว่า
ตามปกติเวลานักพัฒนาหลักสูตรจะกำหนดเนื้อหาลงไปในหลักสูตรนั้น เขาจะคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสมและความสอดคล้องของเนื้อหาที่มีต่อผู้เรียน ดังนั้น
เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใด
หรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตรก็จะต้องมีการกำหนดกรอบ (frame of reference) ที่เป็นกลางๆ
เอาไว้อ้างอิง
ถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆ
ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเรียนแล้ว หลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันที
จากตัวอย่างการพิจารณานำวิชาตรรกวิทยามาบรรจุในหลักสูตรอนุบาลนั้น
ต้องถือว่า หลักสูตรสากลของอนุบาลศึกษาจะต้องไม่มีการเรียนวิชาตรรกวิทยา
การออกแบบหลักสูตร
(curriculum design)
การจัดรายละเอียดองค์ประกอบของหลักสูตร
ซึ่งประกอบด้วย เป้าหมาย จุดหมาย เนื้อหาสาระ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
และการประเมินผล ดังนั้นหากจะเปรียบการพัฒนาหลักสูตร คือ การสร้างบ้าน
การออกแบบหลักสูตรก็คือการออกแบบให้ได้มาซึ่งพิมพ์เขียว หรือรูปแบบของบ้าน
ที่มีรายละเอียดของห้องต่าง ๆ เป็นการจัดส่วนประกอบต่าง ๆ
ของบ้านให้เหมาะสมกลมกลืน เหมาะกับการใช้งาน
ส่วนประกอบหลักสูตร 4 ส่วนหลัก
ออนสไตน์และฮันคินส์ และ เฮนเสน
กล่าวไว้สอดคล้องกันว่า
การออกแบบหลักสูตรที่ดีต้องมีหลักในการพิจารณา 6 ประการดังนี้
1. การกำหนดขอบข่ายหลักสูตร หมายถึง การกำหนดเนื้อหา สาระการเรียนรู้
หัวข้อ ประเด็นสำคัญต่าง ๆ แนวคิด ค่านิยม หรือคุณธรรมที่สำคัญ
สำหรับผู้เรียนในรายวิชาต่าง ๆ ของหลักสูตรแต่ละระดับชั้น
2. การจัดลำดับการเรียนรู้ หมายถึง
การจัดลำดับก่อนหลังของเนื้อหา สาระการเรียนรู้ หัวข้อ ประเด็นที่สำคัญต่าง ๆ
ให้แก่ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปตาม วัย วุฒิภาวะ และพัฒนาการทางสติปัญญา
3. ความต่อเนื่อง หมายถึง การจัดเนื้อหา ประสบการณ์ การเรียนรู้
ทักษะต่าง ๆ ให้มีความต่อเนื่องตลอดหลักสูตร
หลักสูตรที่ดีนอกจากมีการจัดขอบข่ายและลำดับการเรียนรู้ที่ดีแล้ว
ยังต้องมีความต่อเนื่องของเนื้อหาที่เหมาะสมอีกด้วย
4. ความสอดคล้องเชื่อมโยง การจัดหลักสูตรที่ดีควรคำนึงถึง
ความสอดคล้องเชื่อมโยง ให้มี ความต่อเนื่องกันของเนื้อหา ประสบการณ์การเรียนรู้
และทักษะที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน เช่น การจัดหลักสูตรสังคมศึกษา ชั้น ม.1
ให้เนื้อหาภูมิศาสตร์ประเทศไทยมีความสัมพันธ์สอดคล้องเชื่อมโยงกับเนื้อหาประวัติศาสตร์ไทย
เป็นต้น
5. การบูรณาการ
เป็นการจัดขอบข่ายเนื้อหาและประสบการณ์การเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยง
จากหัวข้อหนึ่งไปยังอีกหัวข้อหนึ่งของรายวิชานั้น หรือ จากรายวิชาหนึ่งไปยังอีกรายวิชาหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกัน
6. ความสมดุล
หลักสูตรที่ดีนอกจากจะต้องคำนึงถึงการจัดขอบข่ายเนื้อหา
และมีลำดับการเรียนรู้ ที่ดีแล้ว ยังควรต้องพิจารณาด้านความสมดุลของเนื้อหา
ประสบการณ์การเรียนรู้ และทักษะของรายวิชาต่าง ๆ ความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระกับวุฒิภาวะของผู้เรียน
ความสมดุลของหลักสูตร จึงเป็นสิ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องให้ความสนใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น