2.
ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย และประเมินหลักสูตรเป็นตัวชี้นำ
หรือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในอนาคต ได้หรือไม่
มากน้อยเพียงใด
ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย
และประเมินหลักสูตรเป็นตัวชี้นำ หรือเป็นปัจจัยสำคัญมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในอนาคต
และเมื่อกล่าวถึงแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตร มีประเด็นสำคัญเกี่ยวข้อง 2
ประเด็นคือ ข้อมูลที่นำมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร กับการวิจัยทางการศึกษา
โดยจะพบว่า ในระยะเวลาประมาณ 10 ปี
และจากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
รายงานการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ
1940 และ 1950 มุ่งศึกษา ตัวแปรทำนาย จากคุณสมบัติของครู
มีความเชื่อว่าครูที่มีคุณสมบัติมีแนวโน้มที่จะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 1)
เสียง รูปร่างหน้าตา 2) ความมั่นคงทางอารมณ์ 3) ความน่าเชื่อถือ 4) ความอบอุ่น และ
5) ความกระตือรือร้น
ต่อมาผลการศึกษาวิจัยความมีประสิทธิภาพของครู
ในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ได้ข้อสรุปและเสนอแนะในการพัฒนาวิชาชีพด้วย
การนิเทศแบบคลินิก (Clinical Supervision) เทคนิควิธีการสังเกตการสอนชั้นเรียน
เป็นต้น
ต่อมาในทศวรรษ 1980
เมเดอลีน ฮันเตอร์ (Madeline Hunter) และคณะมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอใช้หลักทฤษฎีเป็นฐาน
(Theory-based) ในการเรียนการสอน สรุปได้ดังนี้ 1)
การสอนมีรากฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม 2) การอนุมานจากแนวคิดในด้านการเรียนรู้
เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ความทรงจำ (Retention) การถ่ายโอนความรู้ (Transfer) เป็นต้น
และผลการศึกษาวิจัยในช่วงทศวรรษ
1980 และ 1990
การเปลี่ยนแปลงทัศนะการเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิยม (Behaviorist) เป็นการเรียนรู้ด้วยปัญญา (Cognitive Learning Theory) สถานศึกษาใดที่มุ่งมั่นพัฒนาในด้านการประเมินที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาวิชาชีพการสอนจึงต้องเริ่มด้วยการกำหนดมาตรฐานการสอนซึ่งสะท้อนสิ่งที่ครูควรรู้
ในประเทศไทยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพครูที่เรียกว่า
คุรุสภาได้เสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา
เพื่อให้มีความรู้สมรรถนะความสามารถในการจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ
ดังนั้นแนวโน้มของการพัฒนาหลักสูตรอาจพิจารณาได้จากผลการศึกษาวิจัย
และข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ
ที่นำมาใช้การพัฒนาหลักสูตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น