เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
วิชาหลักสูตร โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิชย์ นางสาวประริดา โคราช นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2561

กิจกรรมภายในห้องเรียน


1. หลักสูตรบูรณาการ
        หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum) เป็นหลักสูตรที่พัฒนามาจากหลักสูตรกว้างโดยนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ มาหลอมรวม ทำให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไปการผสมผสานเนื้อหาของวิชาต่างๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกันทำได้หลายวิธี
1. เหตุผลและพื้นฐานความคิด
        1.1 เหตุผลทางจิตวิทยาและวิชาการ
          ก. โดยธรรมชาติเด็กหรือผู้เรียนจะมีความสนใจ และมีความกระตือรือร้นในการที่จะแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจในสิ่งต่างๆด้วยเหตุนี้หลักสูตรบูรณาการจึงเป็นหลักสูตรที่เหมาะสมเพราะจะสามารถสนองความต้องการของเด็กหรือผู้เรียนได้
           ข. จากผลการวิจัยเรื่องพัฒนาการทางปัญญาของเด็กในชั้นประถมศึกษา แสดงว่าพัฒนาการทางปัญญาจะดำเนินไปเป็นขั้นๆ แต่ละขั้นจะแตกต่างกันไป เมื่อมาพิจารณาดูหลักสูตรบูรณาการที่มีลักษณะครอบคลุมวิชาหลายวิชาก็จะเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์หลายด้าน
           ค. หลักสูตรบูรณาการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับสื่อการเรียนการสอนหลายๆ อย่างและให้ได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการสนับสนุนการเรียนรู้
        1.2 เหตุผลทางสังคมวิทยา
        หลักสูตรบูรณาการประสานสัมพันธ์ระหว่างสาขาวิชาต่างๆ ใช้ปัญหาหรือกิจกรรมเป็นศูนย์กลางของหลักสูตรอันจะมีผลให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจคติความต้องการของชีวิต
        1.3 เหตุผลทางการบริหาร
        หลักสูตรบูรณาการช่วยให้ลดตำราเรียนได้ และยังสามารถทำให้เป็นที่น่าสนใจมากขึ้นด้วยอาศัยการสอนโดยใช้กิจกรรมเป็นหลักจะช่วยให้ครูหนึ่งคนสามารถสอนได้มากกว่าหนึ่งชั้นในเวลาเดียวกัน
2.  ลักษณะของหลักสูตรบูรณาการที่ดี
        1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้
        2. บูรณาการระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ
        3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ
        4. บูรณาการระหว่างสิ่งที่เรียนในโรงเรียนกับสิ่งที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้เรียนสิ่ง
         5. บูรณาการระหว่างวิชาต่างๆ
3. รูปแบบของบูรณาการ

        1. บูรณาการภายในหมวดวิชา  ตัวอย่างเช่น ในวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้มีการนำเอาเนื้อหาวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา มารวมกัน และต่อมาก็นำเอาวิชาโภชนาการ สุขศึกษา และสิ่งแวดล้อมมาผสมผสานด้วย
        2. บูรณาการการนำเอาความรู้ ทักษะ  และประสบการณ์ ของวิชาหรือหมวดวิชาตั้งแต่สองวิชาหรือหมวดวิชาขึ้นไป มาผสมผสานกันในลักษณะที่เป็นหัวข้อหรือโครงการ
        3. บูรณาการโดยการผสมผสานปัญหาและความต้องการของผู้เรียนและของสังคมอาจผสมผสานภายในหมวดวิชาหรือภายในหัวข้อและโครงการก็ได้ สิ่งที่แตกต่างออกไปคือหัวข้อหรือหน่วยการเรียน หรือโครงการจะเน้นการแก้ปัญหาชีวิตประจำวันของผู้เรียนไม่ว่าปัญหาส่วนตัว ปัญหาชุมชน ปัญหางานอาชีพ ปัญหาสังคม

2. หลักสูตรกว้าง
        หลักสูตรกว้าง (The  Broad-Field  Curriculum) เป็นหลักสูตรอีกแบบหนึ่งที่พยายามแก้ไขจุดอ่อนของหลักสูตรรายวิชา  โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นที่น่าสนใจและเร้าใจ  ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตนให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมได้เป็นอย่างดี  รวมทั้งให้มีพัฒนาการในด้านต่างๆ  ทุกด้าน  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพยายามจะหนีจากหลักสูตรที่ยึดวิชาเป็นพื้นฐาน  มีครูหรือผู้สอนเป็นผู้สั่งการแต่เพียงผู้เดียว  วิชาต่างๆ ที่แยกจากกันเป็นเอกเทศ     จนทำให้ผู้เรียนมองไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเหล่านั้น  ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถนำเอาความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
        หลักสูตรกว้างเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษ  จากวิชาที่โทมัส  ฮุกซเลย์  (Thomas Huxicy) สอนเด็กที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในราชสำนัก (The Royal Insutunon) ที่นครลอนดอน วิชาที่สอนนี้กล่าวถึงแผ่นดินแถบลุ่มแม่น้ำเทมส์และกิจกรรมต่างๆ ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นแผ่นดินนั้น เป็นการนำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ หลายวิชามาศึกษาในเวลาเดียวกัน
        สหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรนี้มาใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914  โดยวิทยาลัยแอมเฮิรส (Amherst Collge)  จัดทำเป็นวิชากว้างๆ เรียกว่า สถาบันสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Institions) ต่อมาในปี ค.ศ. 1923  มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) ก็ได้จัดหลักสูตรกว้าง มีการสอนวิชาที่รวมวิชาหลายๆ วิชาเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นโรงเรียนมัธยมของสหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาหลักสูตรแบบกว้างมาใช้  ทำให้เกิดหมวดวิชาต่างๆการจัดเนื้อหาใช้วิธีจัดเรียงกันเฉยๆ  ไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด  ทำให้การเรียนการสอนไม่บรรลุจุดประสงค์  เพราะแต่ละเนื้อหาวิชาต่างก็มีจุดประสงค์ของตน  ต่อมาภายหลังจึงได้มีการแก้ไขโดยกำหนดหัวข้อขึ้นก่อน  แล้วจึงคัดเลือกเนื้อหาที่สามารถสนองจุดประสงค์จากวิชาต่างๆ นำมาเรียงกันอีกต่อหนึ่ง 
        ประเทศไทยได้นำหลักสูตรมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 โดยเรียงลำดับเนื้อหาต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันเข้าไว้ในหลักสูตร และให้ชื่อวิชาเสียใหม่ให้มีความหมายกว้างครอบคลุมวิชาที่นำมาเรียงลำดับไว้ ตัวอย่างเช่นในหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ.2503 ได้มีการนำเอาเนื้อหาบางส่วนของวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มาเรียงลำดับเข้าเป็นหมวดวิชา เรียกว่า สังคมศึกษา เป็นต้น
2. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
        1. จุดหมายของหลักสูตรมีขอบข่ายกว้างขวางกว่าหลักสูตรรายวิชา ขอบข่ายอาจครอบคลุมไปถึงสังคมด้วย
        2. จุดประสงค์ของแต่ละหมวดวิชา เป็นจุดประสงค์ร่วมกันของวิชาต่างๆ ที่นำมารวมกันไว้ตัวอย่าง เช่น ในหมวดของสังคมศึกษาของประถมศึกษาตอนปลาย พ.ศ.2503 ซึ่งประกอบด้วยวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมือง ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ได้กำหนดจุดประสงค์ของหมวดวิชาครอบคลุมวิชาทั้งสี่นี้เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขอนำเอาจุดประสงค์ทั้งหมด มาเสนอไว้ในที่นี้
        3. โครงสร้างหลักสูตรมีลักษณะเป็นการนำเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาซึ่งได้เลือกสรรแล้วมาเรียงลำดับกันเข้า โดยไม่มีการผสมผสานกันแต่อย่างใด
        ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
ก.ส่วนดี
        1. เป็นหลักสูตรที่ทำให้วิชาต่างๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มีความสัมพันธ์กันดีขึ้น
        2. ในการสอนทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดวามเข้าใจ และมีทัศนะคติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนกว้างขึ้น
        3. เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างกว้างขวาง
ข.ส่วนเสีย
        1. หลักสูตรนี้ถึงแม้ว่าพยายามจะให้เอกลักษณ์ของแต่ละวิชาหมดไป แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้เนื้อหาของวิชาต่างๆ เหล่านั้นผสมผสานกันจนเป็นเนื้อเดียว
        2. ลักษณะของหลักสูตรทำให้การเรียนการสอนไม่ส่งเสริมให้เกิดความรู้เนื้อหาอย่างลึกซึ้ง เข้าทำนองรู้รอบมากกว่ารู้สึก
        3. เนื่องจากหลักสูตรครอบคลุมวิชาต่างๆ หลายวิชา ผู้สอนจึงอาจสอนไม่ดีเพราะขาดความรู้บางวิชา
        4. การสอนอาจไม่บรรลุจุดประสงค์ เพราะต้องสอนหลายวิชาในขณะเดียวกัน


3. หลักสูตรประสบการณ์
        หลักสูตรประสบการณ์ (The Experience Curriculum) เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ว่าหลักสูตรเดิมที่ใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรรายวิชาหรือหลักสูตรกว้าง ล้วนไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นในการเรียนเท่าที่ควร พื้นฐานความคิดของหลักสูตรนี้มีมาตั้งแต่สมัยรุซโซ (Rousseau) และเพลโต (Plato) แต่ได้นำมาปฏิบัติจริงเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 นี้เองนับเป็นก้าวแรกที่ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
        แรกที่เดียวหลักสูตรนี้มีชื่อว่าหลักสูตรกิจกรรม (The Activity Curriculum)ที่เปลี่ยนชื่อไปก็เนื่องจากได้มีการแปลเจตนารมณ์ของหลักสูตรผิดไปจากเดิม
        1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
        หลักสูตรประสบการณ์ถูกนำมาใช้ครั้งแรกที่โรงเรียนทดลอง (Laboratory School) ของมหาวิทยาลัยซิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1896 โดยจอห์นและแมรีดิวอี้ พื้นฐานของหลักสูตรตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่า ถ้าจะให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความกระตือรือร้นในการเรียน จะต้องอาศัยแรงกระตุ้น 4 อย่างคือ
        1. แรงกระตุ้นทางสังคม (Social Impulse) ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้เรียนมีความปรารถนาที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อน
        2. แรงกระตุ้นทางสร้างสรรค์ (Constructive Impulse) ซึ่งสังเกตได้จากการที่ผู้เรียนไม่อยู่นิ่งชอบเล่น ชอบทำกิจกรรม ชอบเล่นสมมุติ ชอบประดิษฐ์สิ่งต่างๆ
        3. แรงกระตุ้นทางการค้นคว้าทดลอง (Impulse to Investigate and Experiment) หมายถึง ความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งอยากทดลองทำสิ่งที่ตนสงสัย
        4. แรงกระตุ้นทางการแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำ และทางศิลปะ (Expressive or Artistic Impulse) ได้แก่ การแสดงออกในด้านการขีดเขียน การพูด การวาดภาพ การเล่นดนตรี
        ในปี ค.ศ. 1904 นักการศึกษาอีกท่านหนึ่งชื่อ มิเรียม (J.L Meriam) ได้ทดลองนำหลักสูตรประสบการณ์ไปใช้ในโรงเรียนประถมของมหาวิทยาลัยมิสซูรี (University of Missouri) โดยกำหนดขอบเขตของหลักสูตรให้คลอบคลุมกิจกรรม 4 อย่างคือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการสังเกตพิจารณา กิจกรรมที่เกี่ยวกับการเล่น กิจกรรมที่เกี่ยวกับนิยายและเรื่องราวต่างๆ และกิจกรรมที่เกี่ยวกับ การทำงานด้วยมือ หลักการของหลักสูตรก็เหมือนกันกับของจอห์น ดิวอี้ คือใช้ทักษะในการอ่าน เขียน คิดเลข เป็นเครื่องส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำกิจกรรม
        ในปี ค.ศ. 1918 นักการศึกษาอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งคือ วิลเลียมคิลแพทริก (W.H. Kilpatrick) ได้เขียนบทความชื่อ วิธีสอนแบบโครงการ (The Project Method) เป็นผลให้หลักสูตรประสบการณ์ในรูปแบบของโครงการถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในชั้นประถมศึกษาแต่ในชั้นมัธยมศึกษาหลักสูตรนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าครูและผู้บริหารยังคงถูกอิทธิพลของหลักสูตรรายวิชาครอบงำอยู่
        2. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
        1. ความสนใจของผู้เรียนกิจกรรมที่ผู้เรียนกระทำเป็นกิจกรรมที่เขามองเห็นความจำเป็นและประโยชน์อย่างแท้จริงไม่ใช่สนใจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนานและไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่คิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสนใจ
        2. วิชาที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน คือวิชาที่ผู้เรียนมีความสนใจรวมกัน ความสนใจรวมกันจะต้องอาศัยความรู้เรื่องพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งพื้นฐานครอบครัว
        3. โปรแกรมการสอนไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า  ที่กล่าวเช่นนี้หมายความว่า  ในหลักสูตรแบบนี้ผู้สอนไม่สามารถกำหนดกิจกรรมการเรียนไว้ล่วงหน้า  แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้สอนไม่เตรียมตัวการสอนเลย  อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผู้เรียนต้องกระทำก่อนการสอนก็คือ การสำรวจความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนและทั้งชั้น  และช่วยผู้เรียนในการตัดสินใจว่าความสนใจเรื่องใดมีคุณค่าควรแก่การศึกษา
        4.  ใช้วิธีแก้ปัญหาเป็นหลักใหญ่ในการเรียนการสอนถ้าผู้เรียนจะได้รับความรู้อะไรจากการบอกเล่าก็ควรเป็นในแง่ที่ความรู้นั้นจะช่วยกระตุ้นหรือส่งเสริมการแก้ปัญหาที่กำลังทำอยู่  คุณค่าของหลักสูตรไม่ได้อยู่ที่คำตอบที่ได้จากการแก้ปัญหา  แต่อยู่ที่ผลซึ่งผู้เรียนได้รับจากการที่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหานั้น  โดยในดังกล่าววิชาจึงเป็นเครื่องมือสำหรับใช้แก้ปัญหา  และด้วยเหตุผลนี้หลักสูตรประสบการณ์จึงใช้วิชาเกือบทุกวิชาเข้าช่วย  สุดแท้แต่ว่าปัญหาจะพาดพิงถึงหรือต้องอาศัยวิชาใด
        3.  ปัญหาของหลักสูตรประสบการณ์
        1. ปัญหาการกำหนดวิชาในหลักสูตร  แทนที่จะคิดในรูปแบบของวิชาอย่างหลักสูตรรายวิชา  กลับมองความสนใจปัจจุบันของผู้เรียนเป็นหลัก  การกำหนดเนื้อหาย่อมทำได้ยาก  ประสบการณ์ที่จัดให้ตามความสนใจอาจไม่ใช่ประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่จำเป็นก็ได้นอกจากนี้การที่ยึดความสนใจเป็นหลักอาจเกิดปัญหาเรื่องความต่อเนื่องของประสบการณ์รวมทั้งความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาที่เรียนด้วย 
        2. ปัญหาการจัดแบ่งวิชาเรียนในชั้นต่างๆ ไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องของเนื้อหาวิชาระหว่างชั้นเรียนได้และบางทีก็มีการจัดกิจกรรมซ้ำๆ กันทุกปี  ได้มีการแก้ไขโดยการจัดทำตารางสอนของแต่ละปีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ผล  เพราะตารางสอนเหล่านั้นเป็นเรื่องของเก่าไม่ได้ชี้ชัดลงไปว่าในปีใหม่ควรทำอะไรกัน
4. หลักสูตรรายวิชา
        หลักสูตรรายวิชา (The Subject Curriculum) ) เป็นหลักสูตรที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมไม่เฉพาะแต่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ประเทศในเอเชียรวมทั้งประเทศไทยก็ได้ใช้หลักสูตรแบบนี้มาแต่ต้นเรียนรู้ หลักสูตรของไทยเราที่ยังเป็นหลักสูตรรายวิชา ได้แก่ หลักสูตรมัธยมและอุดมศึกษา แต่มีการปรับปรุงโครงสร้าง โดยนำเอาระบบหน่วยกิตมาใช้
        1. ลักษณะสำคัญของหลักสูตร
        1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร มุ่งส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียนโดยใช้วิชาต่างๆ เป็นเครื่องมือ
        2. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร อาจมีส่วนสัมพันธ์กับสังคมหรือไม่ก็ได้และโดยทั่วไปหลักสูตรนี้ไม่คำนึงถึงผลที่เกิดแก่สังคมเท่าใดนัก
        3. จุดประสงค์ของแต่ละวิชาในหลักสูตร เน้นการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และลักษณะในวิชานั้นๆ เป็นสำคัญ
        4. โครงสร้างของเนื้อหาวิชา ประกอบด้วยเนื้อหาของแต่ละวิชาที่เป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกับวิชาอื่น และจะถูกจัดไว้อย่างมีระบบ
        5. กิจกรรมการเรียนการสอน เน้นเรื่องการถ่ายทอดความรู้ ด้วยการมุ่งให้ผู้เรียนจำเนื้อหาวิชา การส่งเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องกิจกรรมนอกหลักสูตร
        6. การประเมินผลการเรียนรู้ มุ่งในเรื่องความรู้และทักษะในวิชาต่างๆ ที่ได้เรียนมา
        2. ส่วนดีส่วนเสียของหลักสูตร
   ก.ส่วนดี
        1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตรซึ่งเน้นเนื้อหาวิชา ช่วยให้เนื้อหาวิชาเป็นไปโดยง่าย
        2. เนื้อหาวิชาจะถูกจัดไว้ตามลำดับขั้นอย่างมีระบบ เป็นการง่ายและทุ่นเวลาในการเรียนการสอน
        3. การจัดเนื้อหาวิชาอย่างมีระบบ ทำให้การเรียนรู้เนื้อหาวิชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
        4. การประเมินผลการเรียนทำได้ง่ายเพราะมุ่งประเมินความรู้ที่ได้รับเป็นสำคัญ
   ข.ส่วนเสีย
        1.มักละเลยต่อสภาพและปัญหาของสังคมและท้องถิ่น ทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในสังคมได้
        2. การเน้นเนื้อหา ทำให้ผู้เรียนไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการในด้านอารมณ์และสังคมเท่าที่ควร
        3. หลักสูตรแบบนี้ทำให้ผู้สอนละเลยการเรียนรู้อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เรียนเนื้อหาการเรียนดังกล่าวเรียกว่า การเรียนที่เป็นผลพวง (Concomitant Learning) ซึ่งอาจเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่ผู้เรียนก็ได้
        4.จุดประสงค์ของแต่ละวิชา ซึ่งกระจัดกระจายแยกกันเป็นอิสระ เป็นการสร้างทัศนะแคบๆ ในด้านการเรียนรู้ซึ่งเท่ากับบั่นทอนความอยากรู้ไปในตัว
        5. ถึงแม้ว่าหลักสูตรแบบนี้จะมีการจัดโครงสร้างและลำดับของเนื้อหาอย่างมีระบบ แต่ก็มักจะละเลยความสนใจของผู้เรียน
        6. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนจากความเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย บรรยากาศในห้องเรียนมักจะมีความเคร่งเครียดและประสบการณ์ที่ผู้เรียนจะได้รับจะถูกจำกัดให้อยู่ในวงแคบ
        3. การปรับปรุงหลักสูตร
        1. จัดเรียงลำดับเนื้อหาให้ต่อเนื่องกัน (Articulation) คือ จัดเนื้อหาที่อยู่ในชั้นเดียวกันหรือระหว่างชั้น ให้ต่อเนื่องกัน โดยรักษาความเป็นวิชาของแต่ละวิชาไว้
        2. จัดโดยการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน (Coherence) คือจัดเนื้อหาของแต่ละวิชาให้เชื่อมโยงกันในลักษณะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ผสมกลมกลืนไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน การเชื่อมโยงโดยวิธีการดังกล่าวนี้ทำได้ 2 ระดับ คือระดับความคิด (Cognitive level) และระดับโครงสร้าง (Organizational Level)




5. หลักสูตรแกน
        หลักสูตรแกน (The Core Curriculum) ถือกำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1900 ด้วยเหตุผลสองประการ คือ ความพยายามที่จะปลีกตัวออกจากการเรียนที่ต้องแบ่งแยกวิชาออกเป็นรายวิชาย่อยๆหรือพูดง่ายๆ ก็คือความพยายามที่จะให้หลุดพ้นจากการเป็นหลักสูตรรายวิชา
        1. วิวัฒนาการของหลักสูตร
        เริ่มจากการใช้วิชาเป็นแกนกลางโดยเชื่อมเนื้อหาของวิชาที่สามารถนำมาสัมพันธ์กันได้ เข้าด้วยกัน แล้วกำหนดหัวข้อขึ้นให้มีลักษณะเหมือนเป็นวิชาใหม่ต่อมาภายหลังมีผู้คิดปรับปรุง การเชื่อมโยงอีก โดยยึดเอาวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกน แล้วกำหนดหัวข้อการเรียนการสอนให้ครอบคลุมวิชาอื่นๆ อย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า เอาวิชาประวัติศาสตร์เป็นแกนแล้วขยายขอบเขตของเนื้อหาให้ครอบคลุมวิชาศิลปะ ดนตรี วรรณคดี วิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างไรก็ตามการใช้วิชาเป็นแกนทั้งสองรูปแบบนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่โดยเฉพาะในแง่ของความสัมพันธ์กับปัญหาสังคมปัจจุบัน
        ในเวลาต่อมาได้มีการปรับปรุงแนวความคิดอีก 2 รูปแบบ แบบแรกคือเอาหน้าที่ของบุคคลในสังคมเป็นแกน สำหรับแบบที่สองใช้ปัญหาสังคมเป็นแกน
        จากวิวัฒนาการของหลักสูตรในสหรัฐอเมริกาทำให้เราพอจะอนุมานได้ว่า หลักสูตรแกนคือหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียน และเป็นหลักสูตรที่เน้นให้เรื่องปัญหาสังคมและค่านิยมของสังคม โดยมีกำหนดเค้าโครงของสิ่งที่จะสอนไว้อย่างชัดเจน
        2. หลักสูตรแกนในเอเชีย
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ใช้หลักสูตรแกนอยู่ในปัจจุบันนี้มีหลายประเทศ เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ไทย  เวียดนาม ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ แต่การตีความหมายของหลักสูตรมีอยู่ 3 ความหมาย คือ
                1. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรที่นำเอาวิชาต่างๆ มาผสมผสานกัน โดยใช้หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมปัจจุบัน ปัญหาของผู้เรียน หรือปัญหาทางประวัติศาสตร์มาผสมผสานกัน
                2. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรที่ประกอบด้วยความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ได้เลือกสรรแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคน โดยนำเอาสิ่งที่ได้เลือกไว้แล้วนี้ มาจัดในลักษณะหลักสูตรกว้าง ไม่แยกรายวิชา
                3. หลักสูตรแกน หมายถึง หลักสูตรประกอบด้วยวิชาต่างๆ ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกๆ คน
   อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
                ก. ไม่ว่าจะตีความหมายอย่างใด  หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่ผู้เรียนทุกคนต้องเรียนเหมือนกันทั้งหมด
                ข. ความแตกต่างของเนื้อหาของหลักสูตรขึ้นอยู่กับนโยบายและจุดมุ่งหมายของการศึกษาซึ่งผู้รับผิดชอบเป็นผู้กำหนด
                ค. ทุกหลักสูตรต่างมีจุดเน้นที่วัฒนธรรม  ค่านิยมและปัญหาสังคม  แต่จะเน้นมากหรือน้อยกว่ากันเพียงใด  ย่อมขึ้นอยู่กับนโยบายประเทศนั้นๆ
                ง. ตามปกติหลักสูตรแกนจะเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท  และมีลักษณะเป็นหลักสูตรบูรณาการ
        3. ข้อสรุปเกี่ยวกับหลักสูตรแกน
        หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่บังคับให้ทุกคนต้องเรียน  อาจเป็นหนึ่งของหลักสูตรแม่บท หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้จุดเน้นของหลักสูตรจะอยู่ที่วิชาหรือสังคมก็ได้ ส่วนใหญ่จะเน้นสังคมโดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคม หรือปัญหาสังคม หรือการสร้างเสริมสังคมเป็นหลัก


6. หลักสูตรแฝง (Hidden Curriculum)
        1. ความหมาย
        หลักสูตรแฝง เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Hidden curriculum แต่มีนักพัฒนาหลักสูตรบางท่านพอใจที่จะใช้คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น กู๊ดแลด (Goodlad,1094) ใช้คำว่า implicit curriculum และเซย์เลอร์กับอเล็กซานเดอร์ (Saylor & Alexander,1974) ใช้คำว่า unstudied curriculum ถือได้ว่าเป็นความหมายที่มีนัยเดียวกัน คือเป็นหลักสูตรที่แฝงซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย และไม่ได้มุ่งศึกษาโดยตรง เพราะถือว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่เป็นทางการ (unofficial curriculum)
        หลักสูตรแฝง เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้กำหนดแผนการเรียนรู้เอาไว้ล่วงหน้าและเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่โรงเรียนไม่ได้ตั้งใจจะจัดให้สรุปสั้นๆ และตรงประเด็นก็คือ ครูหรือโรงเรียนสอนค่านิยมให้แก่เด็กอย่างแอบแฝง หรือโดยไม่ตั้งใจ
        แม้จะไม่มีใครกล่าว และให้ความสนใจให้กับหลักสูตรแฝงมากนัก แต่ต้องยอมรับว่าหลักสูตรแฝงมีอยู่ในทุกโรงเรียน สไนเดอร์ (Snyder,1970) ได้ยืนยันความจริงข้อนี้ว่าไม่มีสถานศึกษาใดเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยที่ไม่มีหลักสูตรแฝงปรากฏอยู่และเขาได้แสดงความเชื่อต่อไปว่าหลักสูตรแฝงมีอิทธิพลต่อการปรับตัวของนักเรียนและอาจารย์มากกว่าหลักสูตรปกติ
        2. หลักสูตรแฝงกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย
        ชิลเบอร์เมน (Silberman,1970:9) ได้ยืนยันความจริงในข้อนี้ว่า  สิ่งที่นักการศึกษาจะต้องตระหนักให้มากก็คือ  วิธีการที่เขาสอนและการกระทำของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เขาสอน  นั่นก็คือว่าวิถีทางที่เรากระทำกับสิ่งต่างๆ จะสร้างค่านิยมได้ตรงกว่าและมีประสิทธิผลมากกว่าที่เราได้สอนหรือพูดคุยกับเขาโดยตรงการปฏิบัติการในเชิงการบริหารที่มีลักษณะเฉพาะ  ประเภทการเลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติการแบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถ  การแบ่งแยกผิวพรรณและเชื้อชาติ  หรือการสอบแข่งขันเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาจะมีผลต่อหน้าที่พลเมืองมากกว่าการเรียนโดยตรงในหลักสูตรวิชาสังคมศึกษา  เด็กๆ จะถูกสอนให้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมจริยธรรม  ศีลธรรม  บุคลิกภาพ  และความประพฤติทุกวันจากการจัดและดำเนินการของโรงเรียน 
        โคลเบอร์ก (kopiberg, 1970:120) ได้มีความเชื่อและจุดยืนเดียวกันเกี่ยวกับความสำคัญและอิทธิพลของหลักสูตรแฝงในรูปแบบของการเรียนรู้ทางสังคม (socialization)  ของนักเรียน  เขามองว่าหลักสูตรแฝงมีลักษณะและธรรมชาติที่จำเป็นและเอื้อต่อการพาไปสู่ความเจริญงอกงามทางจริยธรรม  เพราะในโรงเรียนประกอบไปด้วยฝูงคน  การยกย่องและอำนาจ
        แจ๊คสัน (jackson, 1968 : 36) ) ถือว่า กฎ  ระเบียบ  และกิจวัตรประจำวัน  เป็น 3 R’s (rules,regulaons, and  routines ) ของหลักสูตรแฝง  เพราะเป็นสิ่งที่นักเรียนต้องเรียนรู้และปฏิบัติตาม  มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้นได้
        จากข้อเท็จจริง  ความคิด  และมุมมอง  เกี่ยวกับหลักสูตรแฝงนี้จะช่วยให้ครูและนักการศึกษาได้แง่คิด  และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับการเรียนรู้ในเรื่องเจตคติ  ค่านิยม  พฤติกรรม  คุณธรรม  และจริยธรรมของนักเรียน  ความจริงในเรื่องนี้ช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเกิดความตระหนักว่า   การสอนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านจิตพิสัยโดยเน้นการสั่งสอนอบรมในลักษณะการบรรยาย  และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนปกติตามหลักสูตร  แต่เพียงอย่างเดียวย่อมจะไม่เพียงพอ  แต่จะต้องการขอความร่วมมือจากครูและบุคลากรทุกคนของโรงเรียนได้ช่วยกันสร้างบรรยากาศ จัดกิจกรรม  และประพฤติปฏิบัติตนให้เอื้อต่อการเรียนรู้และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียน 


7. หลักสูตรสัมพันธ์วิชา
        หลักสูตรสัมพันธ์วิชา (The Correlated Curriculum) เป็นหลักสูตรรายวิชาที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ แรกทีเดียวการแก้ไขข้อบกพร่องทำโดยการนำเอาเทคนิคการสอนใหม่ๆ มาใช้เพื่อให้ผู้เรียนรู้เนื้อหาที่ต้องการ
        ในระยะต่อมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขอีกโดยจัดให้มีความเชื่อมโยงระหว่างวิชาต่างๆ ทำให้เกิดหลักสูตรสัมพันธ์วิชาขึ้นอย่างไรก็ตามหลักสูตรสัมพันธ์วิชาก็คือหลักสูตรรายวิชาอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง  แต่เป็นหลักสูตรที่นำเอาเนื้อหาของวิชาต่างๆ ที่สอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกัน มาเชื่อมโยงกันเข้าแล้วจัดสอนเนื้อหาเหล่านั้นในคราวเดียวกัน
สำหรับวิธีการที่ใช้ในการสัมพันธ์วิชา  เท่าที่ปฏิบัติกันมามีอยู่ 3 วิธีคือ
1.     สัมพันธ์ในข้อเท็จจริง
2.     สัมพันธ์ในหลักเกณฑ์
3.     สัมพันธ์ในแง่ศีลธรรมและหลักปฏิบัติในสังคม
        หลักสูตรสัมพันธ์วิชาที่ปรับปรุงขึ้นมาจากหลักสูตรรายวิชานี้  มีประโยชน์หลายอย่างที่สำคัญคือ  ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น  ทำให้ผู้เรียนมองเห็นโปรแกรมการเรียนการสอนเป็นส่วนรวมชัดเจนขึ้น  ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีมากขึ้นและกว้างขวางกว่าเดิมและเปิดทางให้สามารถขยายงานด้านตำราเรียนได้กว้างขวางขึ้น  แต่อย่างไรก็ตามข้อบกพร่องที่ยังแก้ไม่ได้ก็คือ  รูปแบบของหลักสูตรยังคงเป็นหลักสูตรรายวิชาอยู่นั่นเอง 


8. หลักสูตรเกลียวสว่าน    (Spiral Curriculum)         
        ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเสมอในระหว่างผู้จัดทำหลักสูตรด้วยกันเอง  ได้แก่  ข้อสงสัยที่ว่าทำไมจึงต้องจัดหัวข้อเนื้อหาในเรื่องเดียวกันซ้ำๆ กันอยู่เสมอในเกือบทุกระดับชั้น  แม้จะได้มีผู้พยายามกระทำตามความคิดที่จะจัดสรรเนื้อหาในแต่ละเรื่องหรือแต่ละหัวข้อให้จบในแต่ละระดับชั้น  แต่ในทางปฏิบัติและในข้อเท็จจริงยังกระทำไม่ได้  เนื่องจากว่าเนื้อหาหรือหัวข้อต่างๆ จะประกอบด้วยความกว้างและความลึก ซึ่งมีความยากง่ายไปตามเรื่องรายละเอียดของเนื้อหา 
        1. ความหมาย
        หลักสูตรเกลียวสว่าน หรือบันไดวน (Spiral Curriculum) หมายถึง การจัดเนื้อหาหรือหัวข้อเนื้อหาเดียวกันในทุกระดับชั้น แต่มีความยากง่ายและความลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ ในชั้นต้นๆ จะสอนในเรื่องง่ายๆ ตื้นๆ แล้งค่อยๆ เพิ่มความยากและความลึกลงไปเรื่อยๆ ตามระดับชั้นที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
        2. ที่มาของแนวความคิดเรื่องหลักสูตรเกลียวสว่าน
        บรูเนอร์  (Bruner, 1960)  มีความเชื่อว่า  ในเนื้อหาของแต่ละเนื้อหาวิชาจะมีโครงสร้างและการจัดระบบที่แน่นอน จากแนวความคิดนี้จึงมีการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะบันไดวน  หรือเกลียวสว่าน  คือให้ลึกและกว้างออกไปเรื่อยๆ  ตามอายุและพัฒนาการของเด็ก บรูเนอร์เชื่อว่า  เราสามารถสอนเรื่องใดๆ  ให้แก่นักเรียนที่มีอายุเท่าใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าเด็กจะมีความพร้อมเต็มที่  และเขาได้ย้ำในประเด็นนี้ว่า  เป็นไปได้ที่จะสอนความคิดและตัวแปรต่างๆ ให้แก่เด็กได้ตั้งแต่เยาว์วัย  และไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้นๆ
        ฟรอสท์และโรแลนด์  (Frost and Roland,1969)  ได้ยืนยันว่า  หลักสูตรเกลียวสว่านช่วยในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนอย่างมีลำดับขั้นตอนของโครงสร้างวิชาวิทยาศาสตร์บูรณาการเข้ากับกระบวนการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ได้อย่างดี  จึงสรุปได้ว่า  เนื้อหาสาระและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กกับนักวิชาการระดับสูงแตกต่างกันเพียงปริมาณหรือความเข้มเท่านั้น  ไม่ใช่ประเภทหรือชนิด
        3. หลักสูตรเกลียวสว่านตามแนวคิดของดิวอี้
        ดิวอี้  (Dewey, 1938) มีความเชื่อว่า การเจริญงอกงามขึ้นอยู่กับการฝึกใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าจากปัญหาที่กำหนดให้จากภายนอก และในขณะที่ผู้เรียนฝึกใช้สติปัญญากับการแก้ปัญหาเหล่านี้  เขาจะได้ความคิดใหม่ๆ  และพลังในการทำงาน
        ดังนั้น  เกลียวสว่านของดิวอี้จึงไม่ได้เริ่มที่ประสบการณ์ของผู้เรียนแต่เพียงประการเดียว  ซึ่งนอกเหนือไปจากเนื้อหาวิชาที่จัดไว้สำหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่แต่มองประสบการณ์ทางการศึกษาว่า  เป็นการขยายความสนใจและสมรรถภาพของผู้เรียนไปสู่ประสบการณ์การเรียนรู้ที่สูงขึ้นและกว้างขึ้น  ดังนั้น  การเลือกเนื้อหาสาระที่จะต้องก้าวไปเรื่อยๆ จำเป็นจะต้องสอดคล้องกับการเจริญงอกงามของประสบการณ์ 


9. หลักสูตรสูญ ( Null Curriculum)
        หลักสูตรสูญหรือ Null Curriculum เป็นความคิดและคำที่บัญญัติขึ้นโดยไอส์เนอร์ (Eisner,1979)เขาได้นิยามหลักสูตรสูญว่า   เป็นหลักสูตรที่ไม่ได้มีปรากฏอยู่ให้เห็นในแผนการเรียนรู้ และเป็นสิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอน
        นอกจากนี้ยังอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า หลักสูตรสูญได้แก่ ทางเลือกที่ไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ผู้เรียน ความคิดและทรรศนะที่ผู้เรียนไม่เคยสัมผัสและเรียนรู้สิ่งที่ผู้เรียนจะนำไปประยุกต์ใช้ได้แต่มีไว้ไม่พอ รวมทั้งความคิดและทักษะที่ไม่ได้รวมไว้ในกิจกรรมทางปัญญา
        1. ประเด็นที่ควรพิจารณา
        ในการกำหนดหลักสูตรสูญขึ้นมานั้นมีสิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาอยู่ 2 ประเด็น ประเด็นแรกได้แก่ กระบวนการทางปัญญา (Cognitive process) ที่โรงเรียนเน้นและละเลย ประเด็นที่สองได้แก่ เนื้อหาสาระที่มีอยู่และที่ขาดหายไปจากหลักสูตร
        กระบวนการทางปัญญานั้น ไอส์เนอร์ หมายถึง กระบวนการทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการรู้ โดยเริ่มจากการรับรู้สิ่งเร้าต่างๆ ไปจนถึงการคิดหาเหตุผลทุกรูปแบบโดยเขาเชื่อว่ายังมีรูปแบบการคิดที่เป็นประโยชน์อีกมาก แต่ไม่เปิดเผยออกมาทางวาจา รวมทั้งการคิดที่ขาดเหตุผลเชิงตรรกะ รูปแบบเหล่านี้จะทำหน้าที่ของมันผ่านกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเห็น การฟังการเปรียบเทียบ และการสังเคราะห์
        สรุปได้ว่า โรงเรียนสร้างผลกระทบให้เกิดแก่ผู้เรียนได้ โดยไม่เพียงแต่จากสิ่งที่สอนเท่านั้น  แต่จากสิ่งที่ควรสอนแต่ไม่นำมาสอนอีกด้วย  เพราะสิ่งที่นักเรียนไม่มีโอกาสพิจารณาสิ่งที่เขาไม่มีโอกาสรู้และกระบวนการที่เขาไม่มีโอกาสใช้ จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของนักเรียน
        ประเด็นที่สองที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น  ไอส์เนอร์ ชี้แจงว่า  โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ว่าในสหรัฐอเมริกาหรือที่ไหนๆ ในโลกนี้ มักจะสอนเนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกครูโดยทั่วไปจะสอนในสิ่งที่เคยสอนกันมาตามนิสัยและความเคยชิน และโดยกระบวนการนี้ทำให้เกิดการละเลยสาขาวิชาใหม่ๆ ที่พิสูจน์แล้วว่า มีคุณประโยชน์ต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก เช่น วิชาเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น
        ทั้งสองประเด็นที่กล่าวมานี้  เป็นมิติที่ไอส์เนอร์ซึ่งเป็นเจ้าของความคิดเรื่องหลักสูญได้กำหนดเอาไว้เป็นหลักในการพิจารณาสิ่งที่ขาดหายไปจากหลักสูตรต่อมาฟลินเดอร์และคณะ (Finders, et.al, 1986) ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันเดียวกันกับไอส์เนอร์ ได้เสนอประเด็นการพิจารณาเพิ่มขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่งอันเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการศึกษาทางด้านอารมณ์และความรู้สึก (affect) อันประกอบด้วยค่านิยม เจตคติ   และอารมณ์ โดยนัยเดี่ยวกัน หลักสูตรสูญตามประเด็นที่สามนี้ ได้แก่ การที่หลักสูตรไม่ได้คำนึงหรือบรรจุความรู้สึก เจตคติ และค่านิยมในบางด้านและบางเรื่องเอาไว้
        2. การนำความคิดของหลักสูตรสูญไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
        หลักสูตรสูญได้แก่สิ่งที่โรงเรียนไม่ได้สอนหรือสิ่งที่ไม่ได้บรรจุไว้ในหลักสูตร  และสิ่งที่ขาดหายไปจากหลักสูตรจำแนกออกได้เป็น 3 ด้านคือ สิ่งที่ขาดหายไปในรูปของกระบวนการทางปัญญา เนื้อหา และด้านความรู้-ค่านิยม

        คงไม่ยากที่จะทำความเข้าใจแนวคิดของเรื่องนี้  แต่ปัญญาหาที่อยู่ในใจของเราก็คือว่า  เราจะใช้อะไรเป็นตัวกำหนดหรือเป็นกรอบในการพิจารณาว่าสิ่งใดเป็นส่วนที่ขาดหายไปจากหลักสูตรดังนั้น  เมื่อจะพิจารณาว่ามีกระบวนการใด   หรือเนื้อหาใดขาดไปจากหลักสูตรก็จะต้องมีการกำหนดกรอบ (frame of reference) ที่เป็นกลางๆ เอาไว้อ้างอิง  ถ้าหากหลักสูตรไม่ได้ครอบคลุมถึงสิ่งที่เป็นเนื้อหากลางๆ ที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนรู้ของเรียนแล้ว  หลักสูตรเหล่านั้นก็จะด้อยคุณค่าทันที



วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

กิจกรรมท้ายบทที่3 ข้อ 2


ศึกษาทำความเข้าใจเพิ่มเติมจาก สุเทพ อ่วมเจริญ การพัฒนาหลักสูตร : ทฤษฎีและการปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตร : การออกแบบ

การออกแบบหลักสูตร

        การออกแบบหลักสูตร (Curriculum Design) ตามขั้นตอนของ SU Model เป็นสามเหลี่ยมรูปที่สอง ซึ่งจะนำจุดมุ่งหมายของหลักสูตรมาจัดทำกรอบการปฏิบัติ หลักสูตรที่จัดทำขึ้นเพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับการพัฒนาตามกระบวนการของหลักสูตร สอดคล้องกับคำถามข้อที่ 2 ของไทเลอร์ ที่ถามว่า มีประสบการณ์การศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัด เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการศึกษา ซึ่ง ปฏิบัติการ : การออกแบบหลักสูตร นี้ ได้ศึกษาเอกสารและมีองค์ความรู้ต่าง ๆ ดังนี้

        1. โมเดลต้นแบบเชิงวัตถุประสงค์ (Objective Model)
        Tyler ได้พัฒนาโมเดลต้นแบบเชิงวัตถุประสงค์ หรือ แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ ถือว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาหลักสูตร จากหนังสือ Basic Principles of Curriculum and Instruction ของ Ralph W. Tyler (1949) ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรและการวางแผนการสอน โดยตั้งคำถามพื้นฐานไว้ 4 ข้อ ได้แก่
        1.มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนต้องแสวงหา (What educational purposes should the school seek to attain?) ได้กล่าวถึง การวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของผู้เรียน ปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ ที่โรงเรียนต้องนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
        2. มีประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ (What educational experiences can be provided that are likely to attain these purposes?) ได้นิยามความหมายของ ประสบการณ์การเรียนรู้ (learning experiences) หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสภาวะแวดล้อมภายนอก การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการพฤติกรรมเชิงรุกของนักเรียน และยังได้กล่าวถึงหลักการในการเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
        3. จะจัดประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไร จึงจะทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ (How can these educational experiences be effectively organized?) การจัดการการสอนที่มีประสิทธิภาพ มีเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ ความต่อเนื่อง (continuity) การเรียงลำดับ (sequence) การบูรณาการหรือการเชื่อมโยง (integration
        4. จะประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไร (How can we determine whether these purposes are being attained?) การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนเพื่อให้ทราบว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีพัฒนาการตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่หรือไม่
        ซึ่งคำถาม 4 ข้อนี้ เป็นคำถามที่จะนำไปสู่ ขั้นตอนในการออกแบบ คือ 1) การกำหนดจุดมุ่งหมาย 2) การออกแบบประสบการณ์ทางการศึกษา 3) การจัดประสบการณ์ทางการศึกษา 4) การประเมินประสิทธิผล

        2. การปรับปรุงโมเดลโดยฮิลดา ทาบา
        ต่อมาในปี 1962 Taba ได้เสนอลำดับขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรเพื่อปรับปรุงโมเดลให้มีความชัดเจนขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 7 ขั้น ได้แก่
3. รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
        3.1 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา
        Ellis (2004: 91-96) กล่าวว่า หลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเกี่ยวข้องกับความรู้และทักษะของการศึกษาทางด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งหมายถึงการศึกษาทางวิชาการ (academic education) ไม่ใช่ทางอาชีวศึกษา เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาและเหตุผล สร้างคนให้มีความรู้เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานให้สังคมประชาธิปไตย
        ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชา คือ ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ซึ่งมีแนวคิดว่า ความรู้ ความจริง และวัฒนธรรมของได้รับการเลือกสรรแล้วอย่างเหมาะสม หลักสูตรจะยึดเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ และปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perennialism) ที่มีแนวคิดว่า เน้นการพัฒนาทางด้านสติปัญญาและการใช้เหตุผล เนื้อหาสาระของสิ่งที่เรียน หลักสูตรใช้เนื้อหาวิชาเป็นสิ่งนำทางไปสู่ความสำเร็จทางปัญญา การเรียนการสอนเน้นที่จะสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเน้นสอนให้ผู้เรียนเป็นคนเก่ง

        3.2 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
        หลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญให้ความสำคัญต่อพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละบุคคลมากกว่าเนื้อหาสาระวิชา ดังนั้นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญจึงไม่ใชหลักสูตรรายวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่เป็นหลักสูตรแห่งความสนใจและประสบการณ์ (Ellis, 2004: 43) นอกจากนั้นแล้ว Ellis ยังกล่าวว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายของการจัดหลักสูตรแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เกิดจากการที่นักเรียนค้นพบตนเองที่ไม่ใช่เป็นการค้นพบจากความรู้ภายนอก แต่เกิดจากค้นพบตนเองซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องเพื่อค้นหาว่าตนเองเป็นใครและต้องการเป็นอะไรในอนาคต
        ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นผู้เรียน คือ ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มุ่งเน้นการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง โดยให้เรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจริง เป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสังคม
การออกแบบหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเน้นให้ผู้เรียนเป็นคนดี

        3.3 รูปแบบการออกแบบหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ
        หลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ เป็นการออกแบบที่เน้นปัญหาทางสังคมเป็นสาระ ไม่ใช่มองที่เนื้อหา วิชาเป็นสาระ ปัญหาสังคม ได้แก่ ปัญหาด้านการดำรงชีวิต ปัญหาชีวิต ปัญหาของชุมชน ปัญหาที่เป็นจริงในสังคมโลก ดังนั้น ถ้าโรงเรียนต้องการจัดหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ โรงเรียนต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้นักเรียนได้พบกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในโลกใบนี้ ไม่ใช่ประเด็นปัญหาสมมติจากแบบเรียน การจัดหลักสูตรให้ดำเนินการเป็นการศึกษาสังคม (Social education) เน้นกระบวนการกลุ่มในการแก้ปัญหา การทำงานร่วมกัน การสร้างทีม การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นของการศึกษาในโรงเรียน (Ellis, 2004: 71-74) และ Ellis เห็นว่า นักเรียนเป็นผู้มีความสามารถและพร้อมที่จะปฏิรูปสังคม สะท้อนแนวคิดว่าหลักสูตรไม่ได้อยู่ในกำแพงอีกต่อไปแล้ว ต้องออกมาสู่ชุมชนสังคม ที่ซึ่งนักเรียนและครูสามารถที่จะเปลี่ยนโลกได้
        ปรัชญาการศึกษาที่เป็นพื้นฐานของหลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญ ได้แก่ ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) มีแนวคิดว่า การเรียนรู้เป็นการนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม หรือเป็นเครื่องมือของมนุษย์ในการปฏิรูปสังคม ดังนั้น หลักสูตรที่เน้นปัญหาสังคมเป็นสำคัญมุ่งหวังให้สังคมเป็นสุข

        4. หลักการออกแบบหลักสูตร 7 ประการของสก๊อตแลนด์
        การออกแบบหลักสูตร 7 ประการของสก๊อตแลนด์ มีหลักการดังต่อไปนี้ การออกแบบหลักสูตรต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาผู้เรียนทั้งในระดับการจัดการและระดับชั้นเรียน กล่าวคือ การนำหลักสูตรไปใช้ต้องมีความต่อเนื่องในการตรวจสอบทบทวน การประเมินและปรับปรุงแก้ไข และในการนำไปใช้ต้องคำนึงถึงความแตกต่างของผู้เรียนและพัฒนาการของแต่ละคนด้วย โดยมีหลักการพื้นฐาน 7 ประการ คือ
5. แนวคิดการออกแบบหลักสูตร ที่ส่งเสริมความเป็นเลิศในการเรียนรู้และการสอน ของมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ
        มหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ได้เสนอหลักการที่ส่งเสริมความเป็นเลิศในการเรียนและการสอนไว้ว่า สถาบันการศึกษาควรจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กับกิจกรรมการสอน จะสะท้อนผลการเรียนรู้ในเชิงบวก ส่งผลต่อทักษะ ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมของผู้เรียน แนวคิดนี้ประกอบด้วยหลักการ 7 ประการ ได้แก่
        1. สร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีส่วนร่วม มีแรงจูใจและมีแรงกระตุ้นปัญญา
        2. ส่งเสริมสนับสนุนให้รู้จักการสืบเสาะค้นหา การตั้งคำถามอย่างมีวิจารณญาณ และการมีความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นฐานของผลการวิจัย
        3. เน้นความสำคัญ ความเกี่ยวโยง และการบูรณาการทฤษฎีและองค์ความรู้เพื่อพัฒนาไปสู่การแก้ปัญหาที่นำไปใช้ได้จริง
        4. ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาความสามารถระหว่างวัฒนธรรมที่ผู้เรียนมีความแตกต่างกัน
        5. คุณค่าและความทรงจำของแต่ละบุคคลและวัฒนธรรมที่หลาหลาย นำมาเป็นมาตรการในบริบทของการสนับสนุนและเกี่ยวข้องกับผู้เรียน
        6. การเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ที่มีผลต่อประสิทธิผลของหลักสูตร การสอนและกลยุทธของการประเมิน
        7. การปรับปรุงการสอนอย่างต่อเนื่องเป็นการพัฒนาวิชาชีพ

        6. การออกแบบหลักสูตรรายวิชา ตามแนวคิดของเวสมินส์เตอร์ เอ็กแชงจ์ มหาวิทยาลัยเวสมินส์เตอร์
        เวสมินส์เตอร์ เอ็กแชงจ์ มหาวิทยาลัยเวสมินส์เตอร์ ได้เสนอแนะการออกแบบหลักสูตรรายวิชา (Course design) ในลักษณะของคำถามเพื่อให้นักพัฒนาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบหลักสูตรรายวิชา ดังนี้

        1.ผู้ออกแบบคาดหวังว่าอะไรที่ช่วยให้หลักสูตรนี้ประสบความสำเร็จ
        2.สถาบันการศึกษาหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อหลักสูตรรายวิชา
        3.การประกันคุณภาพมีความสัมพันธ์กับหลักสูตรอย่างไร
        4.อะไรเป็นแบบจำลองที่ตรงกับความประสงค์ในการออกแบบหลักสูตร
        5.อะไรเป็นจุดหมายและผลการเรียนรู้ของหลักสูตร
        6.การประเมินผลการเรียนรู้ที่คาดหวังอย่างไร
        7.อะไรเป็นกลยุทธในการเรียนรู้ การสอน และการประเมิน
        8.จะต้องปรับพื้นฐานความรู้ก่อนที่จะเรียนรายวิชาหรือไม่
        9.จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างไร การวางแผนพัฒนาผู้เรียนในการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างไร
        10.หลักสูตรจะพัฒนาผู้เรียนที่มีความหลากหลายหรือไม่

        7. การออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน
        ข้อดี (Advantages) และข้อจำกัด (Disadvantages) ในการออกแบบหลักสูตรด้วยแนวคิดวัตถุประสงค์เป็นฐาน
ข้อดี (Advantages)
        ข้อจำกัด (Disadvantages)
1. วัตถุประสงค์ที่ดี และมีรายละเอียดของผลการเรียนรู้หรือ
การพรรณนาความสามารถ ช่วยให้ผู้สอนและผู้เรียนเห็นภาพพฤติกรรม
ที่คาดหวังไว้อย่างชัดเจนเมื่อสอนหรือเรียนจบรายวิชาซึ่งจะสามารถช่วยใน
การจัดทิศทางและเกิดเสถียรภาพในรายวิชา
1. วัตถุประสงค์เป็นผลสุดท้ายของการพิจารณาคุณค่าบางส่วนของผู้เรียนคนใดคนหนึ่ง
2. วัตถุประสงค์มิได้จำกัดอยู่เฉพาะประเด็นด้านวิชาการในรายวิชาใดรายวิชาหนึ่งแต่ใช้กลยุทธ์วัตถุประสงค์เป็นฐานในการวางแผน และการปฏิบัติงาน
2. การสอนและการเรียนรู้อาจถูกกำหนดมากเกินไป จนทำให้ความคิดริเริ่มเกิดการชะงัก
3. ผลการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องชัดเจนช่วยในการปรับวิธีสอนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งวัตถุประสงค์ต้องไม่จำกัดให้อยู่เพียงในกรอบที่จัดไว้ อาจใช้หลากหลายทางเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
3. ผลการเรียนรู้และการพรรณนาความสามารถยาก และใช้เวลาในการสร้าง
4. ผู้สอนซึ่งเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์เป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการประเมิน
เพราะผู้สอนทราบดีว่าควรประเมินด้วยวิธีใด อย่างไร
4. ควรทบทวนวัตถุประสงค์และผลการเรียนรู้บ่อย ๆ ไม่ใช่พิจารณาเมื่อใกล้จะประสบผลสำเร็จในรายวิชา

เอกสารอ้างอิง
สุเทพ อ่วมเจริญ. (2557). การพัฒนาหลักสูตร: ทฤษฎีและการปฏิบัติ (พิมพ์ครั้งที่ 6). นครปฐม:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์.

บทความที่ได้รับความนิยม

โพสต์แนะนำ

บทที่ 3 ประเภทของหลักสูตร