การเรียนรู้สำหรับทักษะในศตวรรษที่
21
ขอบคุณวีดีโอจาก Youtube : ThaiPBS
AI มาจากไหน?
คำว่า AI ย่อมาจาก Artificial Intelligence หรือ
ปัญญาประดิษฐ์
ถือเป็นศาสตร์วิทยาการทางคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยต่างลงมือทุ่มเทสุดตัวพยายามพัฒนาทำให้สิ่งนี้ฉลาด
เหมาะสม และบริบูรณ์ด้วยความสามารถอันเปี่ยมล้น
ศาสตร์นี้ไม่ได้เพิ่งจะมาพัฒนากันไม่กี่ปี หากแต่แนวความคิดนี้มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ
และถูกพัฒนาส่งต่อมากว่าหลายร้อยปีจนมาถึงยุคปัจจุบัน เราเชื่อว่าจากนี้ไปในปี 2018 ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนคุณแทบจะลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เราต่างเคยใช้ชีวิตกันยังไงโดยที่ไม่มีเจ้านวัตกรรมใหม่นี้ขึ้น
การทำงานของ AI คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้มีตรรกะการคิดเป็นของตัวเอง
เป็นตัวแทนของมนุษย์ที่มีความชาญฉลาด
สามารถทำงานหรือใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาในด้านความเป็นเหตุเป็นผล
โดยเชาว์ปัญญานั้นสามารถแสดงเหตุผล การเรียนรู้ การวางแผนหรือนำเสนอความสามารถอื่น
ๆ ได้ด้วย เช่น การประมวลผลจากข้อมูลที่เราให้ไป
หรือการแสดงผลอัตโนมัติจากข้อมูลที่มีอยู่
เรียกได้ว่าเลียนแบบโครงข่ายประสาทของสมองของมนุษย์เลยทีเดียว
ซึ่งในปัจจุบันการทำงานของ AI มีความแม่นยำสูงมาก
จนแทบไม่พบข้อมูลผิดพลาด ทั้งยังสามารถทำงานได้ในระยะเวลาที่กำหนด และทำได้ตลอดเวลา 24 ชม. 7 วันเลยทีเดียว
สรุปแล้ว AI จะเข้ามามีบทบาทกับคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะมันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
คุณต้องเคยใช้แล้วอย่างน้อยสักครั้งในชีวิตแหละน่า
อนึ่ง… คุณเคยใช้ผู้ช่วยที่สั่งการด้วยเสียงอย่างเช่น Apple Siri,
Google Now, Microsoft Cortana รวมถึงการสั่งพิมพ์ด้วยเสียงใน LINE หรือไม่ หรือเคยได้ยินกระแส Conversational Action จาก Smart Speaker หรือลำโพงอัจฉริยะอย่าง Google
Home หรือ Amazon Echo หรือเปล่า
เหล่านี้มี AI เป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการให้เราสามารถสั่งการและโต้ตอบได้ตั้งแต่
สตรีมเพลง ฟังวิทยุ
ไปจนถึงการจัดการควบคุมเครื่องใช้ภายในบ้านให้สามารถเปิด-ปิด-ปรับอุณหภูมิ
และฟังก์ชั่นอื่น ๆ ได้ ทั้งยังสามารถช่วยจัดการตารางต่าง ๆ ของเรา
ช่วยเตือนความจำ เรียกรถโดยสาร ไปจนถึงแนะนำร้านอาหาร ตรวจสอบสภาพอากาศ
และการจราจรก่อนการเดินทาง เหล่านี้เกิดจากการพัฒนา AI ทั้งนั้น
นอกจากนั้นยังมี Chatbot ที่เป็นผู้ช่วยคอยตอบคำถามเบื้องต้นของลูกค้าได้ตลอดเวลา
ทำให้การทำธุรกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ในไทยเห็นจะมีตัวอย่างจากแอปพลิเคชัน Wong
Nai ก็มีการใช้ Chatbot ที่สามารถโต้ตอบและบอกพิกัดร้านอาหาร
จนตอนนี้ก้าวขึ้นมาอันดับ 1 ในไทยเป็นการเปิดมิติใหม่ของ Lifestyle
Platform อย่างเต็มรูปแบบ ที่สามารถจ่ายเงินผ่านแอพ E-payment หรือจัดส่งอาหารผ่าน LINE MAN เป็นต้น
การเรียนรู้แบบ 4I
การเรียนรู้ในสมัยก่อนเน้นตัวไอเพียงตัวเดียวคือ Information
หรือข้อมูล คือการไปเอาข้อมูลหรือข้อเท็จจริงมาจากห้องเรียน
แต่การเรียนรู้ในสมัยใหม่เพื่อปรับตัวให้ก้าวทัน เข้าใจโลกปัจจุบันและอนาคตมากขึ้นนั้นจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่ประกอบไปด้วย
4I ได้แก่
1. Imagination คือจิตนาการ ที่คอมพิวเตอร์ไม่มี
เป็นความสามารถในการสร้างภาพในสมอง ซึ่งภาพเหล่านี้ไม่ได้รับรู้ผ่านการมองเห็น
การได้ยิน หรือผ่านวิธีการรับรู้อื่น ๆ
จินตนาการถือได้ว่าเป็นตัวช่วยสำคัญในการนำความรู้ไปใช้งานจริงและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
และยังเป็นรากฐานในการรวมประสบการณ์และกระบวนการเรียนรู้เข้าด้วยกัน
2. Inspiration แรงดลใจ หรือแรงบันดาลใจหมายถึง
พลังที่ผู้เรียนทุกคนใช้ในการผลักดันตนเอง ในการสนใจในเรื่องต่างๆอยากที่จะเรียนรู้
3. Insight ความเข้าใจอย่าลุ่มลึก เมื่อมีแรงบันดาลใจในเรียนเกิดความสนใจเป็นพิเศษพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆแล้วนั้น
การเรียนรู้ครั้งนั้นย่อมเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่ดี เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเนื้อหารายละเอียดต่าง
4. Intuition ญาณทัศน์ คือสามารถรับรู้
เข้าใจหรือนึกถึงรายละเอียดของเนื้อหาที่เคยเรียนรู้มาได้อย่างแม่นยำ
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
มาดูทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิตการเรียน และทำงานในศตวรรษที่ 21 ได้แก่
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี ทักษะชีวิตและอาชีพ
1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
-
คิดสร้างสรรค์
-
ใส่ใจนวัตกรรม
-
มีวิจารณญาณ
- แก้ปัญหาเป็น
-
สื่อสารดี
-
เต็มใจร่วมมือ
2. ทักษะสารสนเทศ
สื่อ เทคโนโลยี
-
อัพเดตทุกข้อมูลข่าวสาร
-
รู้เท่าทันสื่อ
-
รอบรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ
-
ฉลาดสื่อสาร
3. ทักษะชีวิตและอาชีพ
-
มีความยืดหยุ่น
-
รู้จักปรับตัว
-
ริเริ่มสิ่งใหม่
-
ใส่ใจดูแลตัวเอง
-
รู้จักเข้าสังคม
-
เรียนรู้วัฒนธรรม
-
มีความเป็นผู้นำ
-
รับผิดชอบหน้าที่
-
พัฒนาอาชีพ
-
หมั่นหาความรู้รอบด้าน
องค์ประกอบของทักษะแห่งโลกอนาคต
การเรียนในยุคต่อไปจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบของทักษะแห่งโลกอนาคต
ซึ่งได้แก่
1. Attitude คือทัศนคติ
หรืออุปนิสัยที่เหมาะสม
2. Skill คือทักษะ
ทักษะในการเรียนรู้การทำงานรวมไปถึงความอดทน
3. Knowledge คือความรู้
ทั้งความรู้ใหม่ๆ ที่ควรศึกษาเพิ่ม และความรู้เดิม ๆ ที่นำไปต่อยอด
การเรียนรู้ในปัจจุบันนั้นเน้น
Knowledge คือความรู้มากเกินไป แต่เน้น Attitude
ทัศนคติหรืออุปนิสัย และ Skill ทักษะ
น้อยเกินไป แต่การเรียนรู้ในอนาคตนั้นต้องสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดริเริ่มในกระบวนเรียนรู้ใหม่ๆ
อยู่เสมอ ใฝ่รู้ เกินความสนใจกระตือรือร้นในการเรียนรู้ สื่อสารเก่ง
สามารถสื่อสารเผยแพร่ความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อดทนต่ออุปสรรคที่เข้ามาในการเรียนรู้
คิดเชิงวิพากษ์มีกระบวนการคิดอย่าเป็นระบบมีเหตุมีผล และเรียนรู้จากหลายแหล่งเรียนรู้ข้อมูลต่างๆจากหลายๆด้าน
เพื่อให้ได้ความรู้ที่ครบถ้วน หลากหลายและสมบูรณ์มากที่สุด และแปลว่าการเรียนการสอนอาจจะเปลี่ยนแปลงไป
เปลี่ยนไปสู่การเรียนที่ผู้เรียนมีบทบาท (Active Learning)
การเรียนที่ผู้เรียนมีบทบาท (Active Learning)
Active Learning คือ
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำ
และได้ใช้กระบวนการคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป
เป็นการจัดกิจกรรมเรียนรู้ภายใต้สมมติฐาน 2 ประการ คือ
1.
การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์
2.
แต่ละคนมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
ความรู้ที่ได้เกิดจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว
เกิดการเรียนรู้จากการอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา
อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์
และการประเมินค่า
จากรูปจะเห็นได้ว่า
กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ
1. กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning
•
กระบวนการเรียนรู้โดยการอ่านท่องจำผู้เรียนจะจำได้ในสิ่งที่เรียนได้เพียง 10%
•
การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพียงอย่างเดียว
โดยที่ผู้เรียนไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่นในขณะที่อาจารย์สอนเมื่อเวลาผ่านไปผู้เรียนจะจำได้เพียง
20%
• หากในการเรียนการสอนผู้เรียนมีโอกาสได้เห็นภาพประกอบด้วยก็จะทำให้ผลการเรียนรู้คงอยู่ได้เพิ่มขึ้นเป็น
30%
•
กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพิ่มขึ้น เช่น
การให้ดูภาพยนตร์ การสาธิต จัดนิทรรศการให้ผู้เรียนได้ดู
รวมทั้งการนำผู้เรียนไปทัศนศึกษา หรือดูงาน ก็ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้นเป็น 50%
2. กระบวนการเรียนรู้ Active Learning
•
การให้ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดความรู้
ความเข้าใจนำไปประยุกต์ใช้สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าหรือ
สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และพัฒนาตนเองเต็มความสามารถ
รวมถึงการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เขาได้มีโอกาสร่วมอภิปรายให้มีโอกาสฝึกทักษะการสื่อสาร
ทำให้ผลการเรียนรู้เพิ่มขึ้น 70%
• การนำเสนองานทางวิชาการ
เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง
มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น