1. NPU
Model
2. NPU
Model โดย ประริดา โคราช
3. อธิบาย NPU Model
NPU Model คือ การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
NPU Model คือ การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน โดยใช้วิจัยเป็นฐาน
ที่มาจากนิยามศัพท์ของการวิจัย
ที่ว่าการวิจัย หมายถึง
กระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้
ผู้วิจัยนำแนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์มาเป็นสาระสําคัญ
ประกอบด้วย การทําความกระจ่างชัดในความรู้การเลือกรับและทําความเข้าใจ
สารสนเทศใหม่และการตรวจสอบทบทวนและใช้ความรู้ใหม่ในทำนองเดียวกันผู้วิจัยได้ศึกษาแบบจำลอง Biggs 3’P
Model ตัวแปรก่อนเรียน (Presage) กระบวนการ (Process)
และผลผลิต (Product) สอดคล้องกับแนวคิดการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
(Treffinger, Isaksen and Dorval, 2000) ประกอบด้วย
1)
ความเข้าใจที่ท้าทาย (Understanding the Challenge) มุ่งค้นหาจุดหมาย (goal) โอกาส (oppor-tunity)
ความท้าทาย (Challenge) ความกระจ่างชัด (clarifying)
คิดแผนการ (formulating) เพื่อกำหนดกรอบ
ความคิดสำคัญในการปฏิบัติงาน
2)
การสร้างมุมมองในการคิดแก้ปัญหา (Generating Ideas)
3) การเตรียมทั้งวิธีการในการปฏิบัติงานและความสำเร็จในการปฏิบัติงาน
(Preparing
for Action)
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์เป็นแบบจำลองการสอน
เรียกว่า NPU Model ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่
1
N- Need Analysis
1.1
วิเคราะห์จุดหมายในการเรียนรู้นักศึกษาวิเคราะห์หลักการจัดการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 และจุดหมายของการศึกษาในระดับสากล (World class Education)
เพื่อกำาหนดจุดหมายในการเรียนรู้วิชา “การพัฒนาหลักสูตร”
และนำไปกำหนดจุดหมายของหลักสูตรที่นักศึกษาจะต้องพัฒนาขึ้น
1.2
การวางแผนการเรียนรู้ผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
1)
กำหนดกลยุทธการพัฒนาตนเองจากการศึกษาเอกสารหนังสือหลักฐานร่องรอยหรือการสืบค้นในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือปฏิบัติกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
“กระบวนการพัฒนาหลักสูตร”
2) จัดทําปฏิทินและเครื่องมือในการกำกับติดตามเพื่อการประเมินตนเองในการพัฒนาหลักสูตร
ขั้นที่ 2 P-/Praxis
2.1
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้นักศึกษาศึกษาเรียนรู้ด้วย
การแสวงหาและใช้แหล่งการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือและการเรียนรู้ร่วมกันการใช้วิธีการต่างๆ
ในการเรียนรู้ และการตรวจสอบความรู้ "กระบวนการพัฒนาหลักสูตร"
2.1.1 การแสวงหาและใช้แหล่งการเรียนรู้
2.1.2 การใช้วิธีการต่าง ๆ
ในการเรียนรู้
2.1.3
การตรวจสอบความรู้นักศึกษาจะได้รับการสนับสนุนให้ทํากิจกรรมการ
ปฏิบัติการใช้คอมพิวเตอร์และกิจกรรมกลุ่มมีการแลกเปลี่ยนความคิดของนักศึกษาเปิดการอภิปรายให้กว้างขวางเสนอหลักฐานร่องรอยของความคิดของนักพัฒนาหลักสูตรเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้อภิปรายกับกลุ่มเพื่อนภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้ที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน
2.2
การสรุปความรู้และการวิพากษ์ความรู้ผู้สอนส่งเสริมให้นักศึกษาได้อธิบายแนวคิด
“กระบวนการพฒนาหลักสูตร”
โดยใช้ภาษาของตนเองสอบถามถึงหลักฐานและความชัดเจนในการอธิบายของนักศึกษาที่ใช้ความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่มีมาก่อนของผู้เรียนเป็นพื้นฐานในการ
อธิบายในส่วนการวิพากษ์ความรู้ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนขยายความรู้ความเข้าใจใน
“กระบวนการพฒนาหลักสูตร”
ของนักศึกษาโดยผ่านประสบการณ์ใหม่ๆผู้เรียนจะได้รับการ
สนับสนุนให้นําความรู้ปรับใช้กับประสบการณ์
ในชีวิตจริงโดยผ่านกระบวนการพัฒนาหลักสูตร
นักศึกษานำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์
โดยการพัฒนาหลักสูตรเพิ่มขึ้น
ขั้นที่
3
U-Understanding
การตรวจสอบทบทวนตนเองด้วยการประเมินความเข้าใจในการเรียนรู้
- การประเมินความรู้ส่งเสริมให้นักศึกษาประเมินความรู้และความสามารถของตนเอง
ประเมินความก้าวหน้าในการเรียนและประเมินการบรรลุจุดหมายการศึกษา
ผู้วิจัยได้สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและนำเสนอเป็นแบบจำลองการเรียนการสอน เรียกว่า NPU
Model
Research-Based
Learning
การจัดการศึกษาแบบ
Research-Based
Learning (RBL)
การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันมุ่งการพัฒนาการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นสำคัญโดยนำเอาการวิจัยมาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้หรือจัดกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการวิจัย
โดยมีเชื่อว่าการวิจัยเป็นกระบวนการสร้างคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ได้
บทความนี้จะได้เสนอแนวคิดและวิธีการของการจัดการศึกษาแบบ RBL
เพื่อจะได้เกิดแนวคิดและแนวทางการในการนำไปใช้ปฏิบัติให้เกิดผลต่อไป
นิยามของการจัดการศึกษาแบบRBL
การเรียนรู้เป็นการจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์
กระบวนการเรียนรู้ประกอบด้วยการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้
การจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์เรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษาเกี่ยวข้องการทั้งกระบวนการเรียนและการสอน
การเรียนนั้นเป็นบทบาทของผู้เรียนส่วนการสอนเป็นบทบาทของผู้สอน การเรียนรู้แบบ RBL
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่นำ
‘การวิจัย’เข้ามาเป็นเครื่องมือของการจัดการเรียนการสอน
เหตุผลของการจัดการศึกษาแบบRBL
รศ.ดร.ไพทูรย์ สินลารัตน์
คณบดีคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ
‘การเรียนการสอนที่มีการวิจัยเป็นฐานว่า ’การจัดการเรียนรู้แบบเดิมนั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการใหม่ได้
เมื่อก่อนสถาบันอุดมศึกษาผลิตคนแบบ’จำทำ’เพื่อไปทำงานในระบบราชการ
แต่ปัจจุบันการอุดมศึกษาต้องผลิตคนแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้สูงไปให้แก่ระบบธุรกิจ
การเรียนการสอนแบบ’พูดบอกเล่า’ ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใหม่ของอุดมศึกษาได้อีกต่อไป
ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา
อดีตอธิการบดีของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยได้กล่าวว่าในหนังสือชื่อ
‘การศึกษาที่มีการวิจัยเป็นฐาน’
ว่าการวิจัยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่สามารถสร้างคุณลักษณะหลายอย่างที่การศึกษาต้องการได้
การวิจัยสามารถปรับเปลี่ยนบุคคลให้ตั้งอยู่บนฐาน ข้อมูลและเหตุผล มีวิจารณญาณ
วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์และเกิดนวัตกรรมได้
ขั้นตอนของการวิจัยไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงความรู้
การประเมินความเชื่อได้ของความรู้ การตีค่า
ความอิสระทางความคิดและเป็นตัวของตัวเองย่อมนำมาใช้เป็นเครื่องมือของการเรียนรู้ได้ทั้งสิ้น
ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์
ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง การสอนแบบ Research-Based
Learning ว่า จุดเริ่มต้นของการสอนแบบ RBL มาจากความสงสัยที่ว่า
เป็นไปได้ไหมที่เราจะใช้วิธีการแสวงหาความรู้เป็นวิธีสอน ถ้าการศึกษาต้องการสร้างบัณฑิตให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญา
มีความรู้จักตนเอง ใฝ่รู้อยู่เสมอ คิดริเริ่ม สร้างสรรค์ รอบคอบ
ไตร่ตรองเหตุผลรับผิดชอบ เห็นการณ์ไกล มีศีลธรรม เสียสละ
ซึ่งสอดคล้องคุณธรรมของนักวิจัยแล้ว
ทำไมจึงไม่ใช้การวิจัยเป็นกระบวนการเรียนการสอนเสียเลย
ลักษณะสำคัญของการจัดการศึกษาแบบ
RBL
ลักษณะของการจัดการศึกษาแบบ
RBL
มีดังนี้ คือ
หลักการที่1.แนวคิดพื้นฐาน
เปลี่ยนแนวคิดจาก’เรียนรู้โดยการฟัง/ตอบให้ถูก’ เป็น ‘การถาม/หาคำตอบเอง’
หลักการที่2.เป้าหมาย
เปลี่ยนเป้าหมายจาก’การเรียนรู้โดยการจำ/ทำ/ใช้’ เป็นการคิด/ค้น/แสวงหา’
หลักการที่3.วิธีสอน
เปลี่ยนวิธีสอนจาก’ การเรียนรู้โดยการบรรยาย’ เป็น ‘การให้คำปรึกษา’
หลักการที่4.บทบาทผู้สอน
เปลี่ยนบทบาทผู้สอนจาก’ การเป็นผู้ปฏิบัติเอง’ เป็น ‘การจัดการให้ผู้เรียนปฏิบัติ
อธิบาย
N
P U
N = Planning
วางแผนเขียนเป็นปรัชญา / วิสัยทัศน์/พันธกิจ / จุดหมายของหลักสูตร /
ส่วนนี้คือ creativity ที่เป็น planning
P = Generating ออกแบบและจัดหลักสูตร
(design & organize ) เขียนเป็นสาระในหลักสูตร
วิชาบังคับ วิชาเลือก / ความรู้ ทักษะ สมรรถนะ เมื่อจบหลักสูตร / creativity
= generating การทำให้หลักสูตรปรากฏ มีขึ้น / กรณีนี้อาจเขียนเป็น course
syllabus
U = Producing หลักสูตร
evaluation
เขียนเป็นระดับคุณภาพตาม SOLO
Taxonomy / ได้ 1
คะแนนมีความรู้ในเนื้อหา
ขั้นเลียนแบบ / ได้ 2 คะแนนมี 1 + มีทักษะจากการใช้ความรู้ฝึกฝน
ขั้นประยุกต์
/ ได้ 3
คะแนน ต้องมี 1 และ 2 ขั้นสร้างสรรค์
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสฤษดิเดช พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางต้องรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
เก่ง ดี มีสุข
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 10
มีเจตนารมณ์มุ่งพัฒนาชีวิตให้เป็น "มนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมในการดำรงชีวิต
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข"
หรือกล่าวอีกอย่างคือบุคคลที่มีความ "เก่ง ดี มีสุข"
ซึ่งหากนี่คือเป้าหมายหลักของภาครัฐ
ที่ต้องการให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งทางด้านไอคิวและอีคิว
ตรงตามเป้าหมายการศึกษา คือ ผู้เรียนเป็น คนดี คนเก่ง และ มีความสุข
ยึดคุณธรรมนำความรู้ สู่สังคมไทยโดยสิ่งที่จะบ่งบอกว่าบุคคลใดเป็นบุคคลที่มีความเก่ง
ดี และมีสุขในการศึกษา
เก่ง หมายถึง
ความสามารถทางพุทธิปัญญา คือ ความรู้ความเข้าใจที่แจ่มแจ้งสามารถนำไปใช้ได้
วิเคราะห์เป็น สังเคราะห์ได้ ประเมินได้อย่างเข้าใจ และรู้แจ้งตามศักยภาพ
ดี หมายถึง
เป็นผู้มีเจตคตินิยมที่ดีทั้งต่อการเรียน ความเป็นอยู่ต่อบุคคล ต่อสังคม ชุมชน
และประเทศ
มีสุข หมายถึง
สนุกกับการเรียนและใคร่เรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งหากจะให้ความหมาย
เก่ง ดี มีสุข
ในด้านการดำเนินชีวิตโดยทั่วไปของผู้คนแล้วนั้นก็จะสามารให้ความหมายที่แตกต่างกันออกไปได้อีก
คือ
เก่ง หมายถึง
ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ
สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาและแสดงออกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดีกับผู้อื่น
ดี หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการตนเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่น
และมีความรับผิดชอบต่อส่วนร่วม
มีสุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างมีสุข
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของคนไทย
10
ประการ
1. มีระเบียบวินัย
เมื่ออยู่ใต้ตาผู้คุม
2. มีความซื่อสัตย์สุจริต
และยุติธรรม เพื่อหลอกลวงฝ่ายตรงข้ามจนกว่าจะถึงเวลาโกง
3. ขยัน
ประหยัดและยึดมั่นในสัมมาชีพ
ไม่ว่าอาชีพจะผิดกฏหมายขนาดใหนก็ต้องขยันเพื่อตัวเองไว้ก่อน
4. สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ
พรรคพวกและลูกน้อง คนอื่นช่างมัน
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
กล้าคิดวิพากษ์ วิจารณ์ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ในฝ่ายตนเอง
6. กระตือรือร้นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
แต่กฏข้อใดมีช่องโหว่ก็ให้รีบเอาผลประโยชน์ใส่ตัว
7. มีพลานามัยสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เอาให้สู้ชนะผ่ายตรงข้ามเป็นพอ
8. มีความภาคภูมิและรู้จักทำนุบำรุง
ศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากรของชาติ ต้องตั้งขึ้นหิ้งห้ามแตะต้องจนระเหยไปทีละนิด
9. จะซื้อของเถื่อนหรืออะไรก็ได้ให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุดส่วนผู้ผลิตสินค้าจริงๆช่างมัน
มันล่มจมไม่เกียวกับเราสักหน่อย
10. มีความเสียสละ
เมตา อารีย์ กตัญญูกตเวทิตา กล้าหาญและมีความรักสามัคคี
ต้องรีบทำเป็นหน้าเป็นตาส่วนตัวตนจริงช่างมันเอาให้คนเชื่อถือก็พอ
การสร้างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช
หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนสฤษดิเดช พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางต้องรู้และควรรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น